พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีรับมอบผลงาน สปช.วาระการปฏิรูป 37 ประเด็น และ 6 วาระพัฒนาจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ในงาน สปช.รายงานประชาชน : เปลี่ยนประเทศไทย กับ สปช. โดยมี ศ.กิตติคุณ ดร.เทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เป็นผู้ส่งมอบ พร้อมด้วย ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองประธาน สปช. คนที่หนึ่ง และ รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง รองประธาน สปช. คนที่สอง และ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ร่วมเป็นเกียรติ ณ ห้องคอนเวนชั่นเอ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์
นางสาวศิริรัตน์ เอี่ยวผดุง รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ โรงงานเทพารักษ์ บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (ขวา) รับมอบใบประกาศรับรองฐานะสมาชิกแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านทุจริตจาก ดร. บัณฑิต นิจถาวร เลขาธิการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านทุจริตอย่างสมบูรณ์ (ซ้าย) โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ ตลอดจนสร้างมาตรฐานในการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น โดยพนักงานและผู้บริหารทุกคน รวมทั้งซัพพลายเออร์ คู่ค้า ลูกค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ได้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และสร้างเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง
รศ.ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ รวมทีมปั่นจักรยาน Bike For Mom ปั่นเพื่อแม่ หน้าลานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อแสดงความพร้อมในการถวายความจงรักภักดี แก่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก่อนแยกย้ายไปประจำจุดปั่นตามที่คณะรัฐบาลจัดไว้ต่อไป
เรวดี วัฏฏานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บาร์เทอร์คาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และพนักงานบาร์เทอร์คาร์ด ประเทศไทย ทุกสาขา ทั้งสำนักงานใหญ่, ทองหล่อ, สีลม, ลาดพร้าว, พัทยา, ภูเก็ต และเชียงใหม่ จัดกิจกรรม Bartercard Sport Day เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีในการทำงานร่วมกัน ตลอดจนช่วยสนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผ่านกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ ณ สนามฟุตบอล อาม่า ซ็อคเกอร์ คลับ
บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ ยิปรอค นวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงและบริการโซลูชันส์ระบบผนังและฝ้าครบวงจรมากว่า 45 ปี ร่วมกิจกรรมออกบูธผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิดรักษ์โลก Gyproc Go Green หรือ Gyproc3G ซึ่งประกอบด้วย Green Products การใช้วัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, Green Solutions การนำเสนอระบบผนังและฝ้าเพดานประหยัดพลังงาน และ Green Manufacturing กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอน ภายในงาน 2015 Thai Green Building Expo and Conference จัดโดยสถาบันอาคารเขียวไทย ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา
บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงาน Say Hello to Windows 10 ณ ร้านแบล็คบ็อกซ์ คาเฟ่แอนด์บาร์ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานวินโดวส์ 10 วินโดวส์เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ผู้คนสามารถทำสิ่งที่ชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมี รชฎ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้จัดการอาวุโสกลุ่มธุรกิจและการตลาดวินโดวส์และเซอร์เฟซ ปัญจพร วิทยเลิศพันธุ์ ผู้จัดการอาวุโสกลุ่มผลิตภัณฑ์ออฟฟิศ และ ธัญพรรษ สกุลกลจักร ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแอพพลิเคชั่น (Partner Business Evangelist) บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ให้ข้อมูล
นายอาทิตย์ วุฒิคะโร อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กลาง) มอบรางวัล โครงการปรึกษาตัวอย่างแห่งปี 2558 (DIP Consultant Award 2015) กิจกรรมเชิดชูเกียรติที่ปรึกษา ที่มีความรู้ ความสามารถให้เป็นที่รู้จัก และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของที่ปรึกษา โดยพิจารณาคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีผลงานการให้คำปรึกษาแนะนำที่โดดเด่น รวมทั้งมีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณที่ดีในการประกอบอาชีพที่ปรึกษา สำหรับปีนี้มีที่ปรึกษาสนใจสมัครรวมทั้งสิ้นจำนวน 50 ราย และมีผู้ที่มีผลงานการให้คำปรึกษา โดดเด่นจนได้รับการคัดเลือกเป็นที่ปรึกษาตัวอย่างแห่งปี 2558 จำนวน 8 ราย โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ขั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถ.รัชดาพิเศษ กรุงเทพฯ
นางวรวรรณ งานทวี (ที่ 5 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน) ส่งมอบเรือวางทุ่นพร้อมเครน ขนาดยกน้ำหนักได้ไม่น้อยกว่า 12 เมตริกตัน เรือท่าเรือ 123 ให้กับ การท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยมี พลเรือเอกอภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานกรรมการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นผู้รับมอบ พร้อม คุณธนวรรณ ศรีวรรธนะ ภริยาประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นสุภาพสตรีผู้ประกอบพิธี ทั้งนี้เรือได้ถูกต่อขึ้นสำหรับทำหน้าที่บำรุงรักษาทุ่นและเครื่องหมายช่วยการเดินเรือในร่องน้ำ ณ อาณาบริเวณที่รับผิดชอบ ทดแทนเรือท่าเรือ 103 ที่เสื่อมสภาพการใช้งาน และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการบำรุงรักษาทุ่นและเครื่องหมายช่วยการเดินเรือในร่องน้ำ และช่วยให้การเดินเรือมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ภายในงบประมาณ 351,762,500 บาท ณ อู่ต่อเรือ บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน)
นายอาทิตย์ วุฒิคะโร อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ที่ 4 จากซ้ายนั่ง) เป็นประธานในพิธีปิดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ โครงการ พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รุ่นที่ 291-294 พร้อมมอบวุฒิบัตรแก่ผู้สำเร็จการฝึกอบรม ซึ่งมีผู้ประกอบการที่สำเร็จหลักสูตรการฝึกอบรมในรุ่นดังกล่าวทั้งสิ้น 134 ราย โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรมเซ็นทารา คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
คณะผู้จัดการจาก บริษัท โตเกียว มารีน นิชิโด ประเทศญี่ปุ่น เข้าร่วมงานสัมมนาระดับผู้บริหาร ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย นางสาวศิญาภัสร์ จันทไชยโรจน์ (ที่ 6 จากซ้าย แถวหน้า) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์โครงการอสังหาริมทรัพย์ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ได้รับเกียรติเป็นวิทยากรรับเชิญบรรยายภาพรวมธุรกิจ และกิจกรรมเพื่อสังคมของเหมราชฯ ด้านการพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
นายภูริวัทน์ รักอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการประจำภูมิภาค นายเกษม เกาจารี ผู้จัดการฝ่ายขายรถบรรทุก พร้อมด้วย นายอำนาจ ทองทัย ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรมพนักงานขับรถ และทีมบริการจาก บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด ร่วมกันส่งมอบรถบรรทุกหัวลาก Scania P410 LA6x4 MSZ รถบรรทุกประสิทธิภาพสูงและประหยัดเชื้อเพลิง จำนวน 15 คัน แก่ นายนรินทร์ รุ่งเรืองรัศมี ที่ปรึกษาแผนกซ่อมเครื่องจักรและขนส่งและตัวแทนพนักงาน บริษัท เมโทรแมชีนเนอรี่ จำกัด ในการขนส่งเครื่องจักรกลและเครื่องยนต์อุตสาหกรรมขนาดใหญ่
นายสุวิทย์ จินดาสงวน ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์เนต โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ จำกัด หรือ ไอเอสเอสพี (ISSP), นายบัณฑิต ว่องวัฒนะสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์เนต โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ จำกัด หรือ ไอเอสเอสพี (ISSP) และ นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และบริหารลูกค้า บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) ร่วมกันเปิดตัวบริการใหม่ a.csp ซึ่งเป็นบริการคลาวด์ที่รองรับแพลตฟอร์มของไมโครซอฟท์ อันประกอบด้วย Microsoft Hyper-V, System Center, Windows Server และ Windows Azure Pack เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มลูกค้าที่คุ้นเคยกับซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มของไมโครซอฟท์ ตอกย้ำความเชื่อมั่นในเรื่องการให้บริการคลาวด์ของไอเอสเอสพีในด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย และสามารถช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น
คุณมรกต ยิบอินซอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด และทีมงานให้การต้อนรับรายการ เซียนธุรกิจ สถานี NATION TV ในโอกาสเยี่ยมชมการดำเนินงานพร้อมสัมภาษณ์พิเศษ ในฐานะที่บริษัท ยิบอินซอย จำกัด เป็นบริษัทชั้นนำของไทยที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพมานานกว่า 90 ปี โดยนำเสนอประเด็นด้านการสร้างความยั่งยืนขององค์กร แนวคิดในการบริหารจัดการและกลยุทธ์ทางการตลาด ฯลฯ การบันทึกเทปสัมภาษณ์ครั้งนี้จะนำไปออกอากาศในวันที่ 13 สิงหาคม 2015 เวลา 14.30 น. ทางสถานี NATION TV ช่อง 22 หรือช่อง 32 ในระบบดาวเทียม และเคเบิลทีวี
นายเสริมสกุล คล้ายแก้ว (ที่ 2 จากขวา) ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมทีม 5 มหัศจรรย์ คนพันธุ์ PEA เปิดตัว "ZEWA ถังแยกขยะอัจฉริยะพูดได้" เพื่อปลุกจิตสำนักให้ทุกคนหันมาใส่ใจการแยกขยะก่อนทิ้ง สนองนโยบายขยะมูลฝอยเป็นวาระแห่งชาติ ณ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็ว ๆ นี้
มร. อลัน ชึง (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานบริษัท และประธานกรรมการบริหาร นายวรินทร์ ตันติพงศ์พาณิช (ที่สองจากขวา) รองประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์ บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด พร้อมด้วย นายศุภวัฒน์ กรรณกุลสุนทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฟโต้ บัค จำกัด ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเปิด "Canon Image Square by Photo Bug" ศูนย์บริการด้านการถ่ายภาพและพิมพ์ภาพแบบครบวงจรสาขาแรกในเมืองไทย ผ่านระบบ แฟรนไชส์ ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ของแคนนอน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของแคนนอนในกลุ่มผลิตภัณฑ์อิมเมจ คอมมูนิเคชั่น โปรดักส์ (กล้องและเลนส์) และกลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์ ซิสเต็ม โปรดักส์ (พรินเตอร์และอุปกรณ์พรีเซ็นเตชั่น) ในพื้นที่ภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี โดย Canon Image Square by Photo Bug ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต จังหวัดเชียงใหม่
บริษัท ที แอล เอส กรุ๊ป เซาท์อีสท์ เอเชีย จำกัด (TLS Group) ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ฮุนได ฟอร์คลิฟท์ ผู้นำด้านรถฟอร์คลิฟท์สำหรับงานอุตสาหกรรม และจัดการคลังสินค้า ทำพิธีตรวจรับและส่งมอบ ฮุนได ฟอร์คลิฟท์ จำนวน 14 คัน แก่ การท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยประกอบด้วย ฮุนได ฟอร์คลิฟท์ ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ขนาดยก 3 ตัน จำนวน 11 คัน และฮุนได ฟอร์คลิฟท์ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล ขนาดยก 2.5 ตัน จำนวน 3 คัน ส่งมอบ ณ การท่าเรือแห่งประเทศไทย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
สุนันต์ อรุณนพรัตน์ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน วันเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าโลก (World Ranger Day) เพื่อเดินหน้าปกป้องผืนป่าเพื่อแผ่นดิน พร้อมมอบโล่เกียรติคุณและยุทโธปกรณ์เพื่อสนับสนุนงานลาดตระเวนแก่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า โดยมี นิพนธ์ โชติบาล (ที่ 2 จากซ้าย) อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สมฤกษ์ บัวใหญ่ (ซ้าย) รองผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ธีรภัทร ประยูรสิทธิ (ที่ 2 จากขวา) อธิบดีกรมป่าไม้ และ สมหมาย กิตยากุล (ที่ 3 จากขวา) รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เข้าร่วมเป็นเกียรติในงาน ณ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. ส่งเสริมปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21 แกร่งวิชาการพร้อมไปกับทักษะประสบการณ์ทำงานด้วย ส่งนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. ที่ได้รับทุนเดินทางฝึกงานประเทศญี่ปุ่น โดยมีทีมหนึ่งฝึกงาน ณ มหาวิทยาลัยโตไก เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาคนรุ่นใหม่ได้สัมผัสประสบการณ์ตรงในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีของโลกและนำมาประยุกต์ใช้ นอกจากนี้ยังมีอีกทีมฝึก ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งชาติ ไมซุรุ เมืองท่าไมซุรุ จังหวัดเกียวโต โดยมี ผศ.ดร. นันทวัฒน์ จรัสโรจน์ธนเดช ให้คำปรึกษา วัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความร่วมมือในด้านการส่งเสริมวิชาการด้านวิศวกรรมโยธา เสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ การปฏิบัติควบคู่วิชาการและความเป็นผู้นำ เปิดโลกทัศน์และเรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่นและเรียนรู้สังคมวัฒนธรรม
นายประธานวงศ์ พรประภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วย นายสยาม ก้องภักดีสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามกลการอุตสาหกรรม จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถฟอร์คลิฟท์ ยูนิแคริเออร์ และบริการครบวงจรในประเทศไทย เป็นประธานจัดและมอบรางวัล การแข่งขันยูนิแคริเออร์ กอล์ฟพาร์ทรี 2015 ณ สนามกอล์ฟสยามคันทรีคลับ โดยรางวัลชนะเลิศได้แก่ นายวงศ์วิทย์ เสาวธารพงศ์ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 นายบุญโฮม วงศ์ศรี และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 นายสุวงศ์ กอบกาญจน์สกุล โดยมี มร.มาซาชิ ทาคามัตสึ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิแคริเออร์ เอเชีย จำกัด ร่วมเป็นเกียรติ การแข่งขันมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ด้วยสปิริตกีฬาและมิตรภาพอันแน่นแฟ้นอบอุ่น พร้อมปาร์ตี้และความสุนทรีย์จากดนตรีและเกม
นายพิฑูร โรจน์พิบูลสถิตย์ (ซ้าย) ผู้จัดการส่วนขายโครงการนครหลวง บริษัท โสสุโก้ แอนด์ กรุ๊ป (2008) จำกัด ผู้ดำเนินการตลาดและการขายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังตราโสสุโก้ เข้ารับโล่เกียรติคุณ รางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ประจำปี 2557 จากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน โดยมี พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (ขวา) เป็นผู้มอบ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม 1 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์
ดร.วีระชัย เตชะวิจิตร์ ประธานกรรมการกลุ่มโรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์คณะ กมธ.การศึกษา สนช. และ มิสฟรานเชสก้า วู้ดเวิร์ด ประธานฝ่ายต่างประเทศ Pearson องค์กรการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ร่วมเป็นประธานพิธีเปิด วิทยาลัยรีเจ้นท์นานาชาติเพื่ออาชีพ โดยใช้หลักสูตร BTEC Pearson ซึ่งเป็นที่ยอมรับในนานาประเทศทั่วโลก โดยมี ดร.ชุมพล พรประภา นายกก่อตั้งสภามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยและที่ปรึกษาสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, มร.คริส แท๊ตเชอร์ รองประธานสภาหอการค้าอังกฤษ, มร.นิติน ดั๊ตต้า ซีอีโอ วิทยาลัยรีเจ้นท์นานาชาติเพื่ออาชีพ และ นายปัญญชาติ ปัญญาวงษ์ สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา วิทยาลัยนานาชาติเพื่ออาชีพแห่งแรกในเมืองไทยนี้มุ่งเน้น ทวิศึกษา (Dual System) โดยใช้หลักสูตร BTEC International Qualifications ภาษาอังกฤษซึ่งที่ยอมรับของธุรกิจอุตสาหกรรมและมหาวิทยาลัยในอาเซียนและทั่วโลก สนองนโยบายรัฐในการพัฒนาการศึกษาพื่ออาชีพและทุนมนุษย์ (Human Capital) ของประเทศไทยสู่ระดับสากลรองรับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
นายปิติภัทร บุรี (ที่ 3 จากขวา) กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี พร้อมด้วย นายอเล็กแซนดรอ บิสชินี (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย ลงนามเซ็นสัญญาเช่าสำนักงาน ณ ภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์ โครงการอาคารสำนักงานเกรดเอ บนถนนสุขุมวิท ย่านใจกลางธุรกิจของกรุงเทพฯ โดยมี (จากซ้ายไปขวา) นางสาวกุลจรรยา คฤหเดช รองประธานบริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัทลาซาด้า ประเทศไทย นายนิธิพัฒน์ ทองพันธุ์ กรรมการบริหารหัวหน้าแผนกพื้นที่สำนักงาน ซีบีอาร์อี ประเทศไทย นายเอเดรี่ยน ตัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัทลาซาด้า ประเทศไทย นางนววรรณ อัครพสุชาติ ผู้อำนวยการฝ่ายสายงานปฎิบัติการและงานบริการ กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี และ นาวสาวรุ่งรัตน์ วีระภาคย์การุณ ผู้อำนวยการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดี
นายคุรุจิต นาครทรรพ (กลาง) ปลัดกระทรวงพลังงาน อวดผลสำเร็จของโครงการอนุรักษ์พลังงานและผลิตพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้โครงการ ใส่เกียร์ ๕ เดินหน้าพลังงานไทย ที่ให้การสนับสนุนแก่หน่วยงานความมั่นคง โดยมีตัวแทนหน่วยงาน กองทัพบก กองทัพอากาศ กอ.รมน. ศอ.บต และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมแถลงความคืบหน้า ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ ชั้น ๓ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ เมื่อวันก่อน
นายปราโมทย์ วิทยาสุข ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม(คนกลาง) ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (คนที่ 7 จากขวา) และ มิสเตอร์อิคุโอะ คาโนะ ผู้อำนวยการองค์การพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น (คนที่ 6 จากซ้าย) ร่วมเปิดงานสัมมนา แผนการจัดการกากอุตสาหกรรมระยะ 5 ปี พ.ศ. 2558–2562 เพื่อถ่ายทอดความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับเทคนิคการจัดการกากอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น โดยการสัมมนาจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ
นายปธาน สมบูรณสิน (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด (TPARK) พร้อมด้วย นางสาวปิยนาถ ศรีตภานุ (ซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายขาย TPARK ร่วมแสดงความยินดีกับ นางวิภาดา ดวงรัตน์ (ที่ 3 จากซ้าย) รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) และ นางเยาวลักษณ์ ชวธนากร (ขวา) รักษาการผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ โลจิสติกส์ จำกัด ผู้นำด้านการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร ในโอกาสเปิดคลังสินค้าสำหรับวัตถุอันตราย (Dangerous Goods Warehouse) แห่งใหม่ ที่โครงการ TPARK บางนา บนพื้นที่ 2,700 ตารางเมตร โดยคลังสินค้าแห่งนี้เป็นคลังสินค้าเพื่อการจัดเก็บสินค้าประเภทเคมีภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะ โดยมี TPARK เป็นผู้ดำเนินการพัฒนาโครงการตามมาตรฐานภายใต้ข้อกำหนดใน พ.ร.บ วัตถุอันตราย กรมโรงงานอุตสาหกรรม
วีระศักดิ์ ฟุ้งเฟื่อง ผู้อำนวยการฝ่ายผลิต โรงงานเทพารักษ์ (กลางซ้าย) และ วิภา เหลืองอ่อน ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ โรงงานโคราช (กลางขวา) บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้แทนบริษัทฯ ในการขึ้นรับรางวัลเชิดชูเกียรติสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ประเภทสถานประกอบกิจการขนาดใหญ่ ประจำปี 2558 จากสำนักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน แสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามนโยบายด้านความรับผิดชอบทางสังคมและแรงงานที่ชัดเจน โดยเชื่อมั่นในคุณค่าของพนักงานและต้องการส่งเสริมให้พนักงานมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี ปลอดภัยและถูกสุขอนามัย ตลอดจนการพัฒนาส่งเสริมความรู้ให้กับพนักงานอยู่เสมอ
เรวดี วัฏฏานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บาร์เทอร์คาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด (กลาง) ผู้ให้บริการระบบแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการโดยไม่ใช้เงินสดรายใหญ่ที่สุดในโลก ออกบูธงาน Thailand Franchise & Business Opportunities 2015 (TFBO 2015) งานแฟรนไชส์และโอกาสทางธุรกิจอันดับ 1 ของอาเซียน เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับระบบบาร์เทอร์คาร์ด และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจกับกลุ่มผู้ประกอบการและธุรกิจ SME รายใหม่ เพื่อไปช่วยลดต้นทุนด้านเงินสดและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และให้เข้าถึงกลุ่มสมาชิกที่มีอยู่กว่า 3,000 ธุรกิจในประเทศไทย และอีกกว่า 35,000 ธุรกิจทั่วโลก ณ ฮอลล์ 101-103 ไบเทค บางนา
แอดไวซ์ (Advice) ผู้นำธุรกิจร้านค้าไอทีและสมาร์ทโฟน รายใหญ่ มีเครือข่ายครอบคลุมกว่า 350 สาขาทั่วประเทศไทย จัดโครงการ แอดไวซ์ แต้มฝันปันยิ้มให้น้อง บริจาคอุปกรณ์การเรียนต่างๆ และอุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้กับโรงเรียนที่อยู่ในโครงการพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ภายในจังหวัดตากและจังหวัดใกล้เคียงกว่า 160 แห่ง เพื่อส่งเสริมการเรียนและสร้างโอกาสให้กับเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น
บริษัท เอบีบี จำกัด หนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีไฟฟ้ากำลังและเทคโนโลยีอัตโนมัติ เปิดตัวนวัตกรรมเทคโนโลยีไฟฟ้าของบริษัท ผ่านการสัมมนาเชิงวิชาการในหัวข้อที่เกี่ยวกับไฟฟ้ากำลัง, Oil&Gas และ Building & General Industries ในงาน ABB Day in Myanmar ณ โรงแรมโนโวเทล ย่างกุ้ง แม็กซ์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ซึ่งมีลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจและผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 250 คน พร้อมกันนี้ทางบริษัทได้มีโอกาสจัดงานสัมมนาทางวิชาการเพื่อนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีไฟฟ้าสำหรับสถานีจ่ายไฟฟ้าและหม้อแปลงไฟฟ้าคุณภาพให้แก่หน่วยงานราชการสังกัดกระทรวงพลังงาน (MOEP - Ministry of Electric Power) ตลอดจนการนำเสนอข้อมูลสินค้าและแนวทางการพัฒนางานด้านพลังงานน้ำมันและก๊าซแก่หน่วยงานราชการสังกัดกระทรวงพลังงาน (MOGE-Myanmar Oil and Gas Enterprise) ณ เมืองเนปิดอร์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์
สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติเรื่อง “The 13th Workshop of APMP/TCQM Gas Analysis Working Group” เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ก๊าซ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานนานาชาติเข้าร่วม 12 ประเทศ รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ในประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย
APMP/TCQM เป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนาและปรับปรุงความสมดุลของระบบการอ้างอิงระดับชาติสำหรับการตรวจวัดทางเคมีและชีวภาพ นอกจากนี้ยังเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับการเริ่มต้นและการตรวจสอบโปรแกรมการเปรียบเทียบ และสร้างความมั่นใจในโปรแกรมการเปรียบเทียบระหว่างประเทศที่ดำเนินการผ่าน CIPM CCQM นอกจากนี้ TCQM ยังทำหน้าที่เป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการส่งมอบโปรแกรมการวิจัยและการวัด การบริการ และกิจกรรมทางเทคนิคอื่น ๆ ของสมาชิกใน TC เพื่อสร้างโอกาสใหม่สำหรับการทำงานร่วมกัน ซึ่งในครั้งนี้ TCQM (Technical Committee for Amount of Substance) ได้สนับสนุนจัดประชุมเชิงปฏิบัติการภายใต้หัวข้อ “Metrology demands and measurement priorities in gas analysis” ระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม 2558 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการวัดและการสอบเทียบในภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญจากประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี อินเดีย บังคลาเทศ นอกจากนี้ยังได้รับความสนใจจากหน่วยงานจากประเทศแอฟริกาใต้ และสหรัฐอเมริกา รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมอีกด้วย โดยในวันที่ 4 และ 5 สิงหาคม 2558 ได้จัดให้มีกิจกรรมที่สำคัญคือ การเข้าเยี่ยมชมบริษัท ลินเด้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้นำในด้านก๊าซอุตสาหกรรมในประเทศไทยมากว่า 40 ปี ในวันที่ 4 สิงหาคม และห้องปฏิบัติการวิเคราะห์สารไดออกซิน ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการของสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ มว. คลองห้า จังหวัดปทุมธานี ในวันที่ 5 สิงหาคม 2558 ทั้งนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าการวิเคราะห์ก๊าซในประเทศจะได้รับการพัฒนาสู่สากลอย่างต่อเนื่องต่อไป
ดร.พรชัย รุจิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ให้เกียรติเป็นประธาน ร่วมกับ นายชัยยุทธ สันทนานุการ รักษาการในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดและการขาย บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เปิดตัว CAT Data Center Nonthaburi II อาคาร Data Center ที่ได้รับมาตรฐานระดับสากลแห่งใหม่ รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งเป็น Data Center แห่งแรกและแห่งเดียวใน ASEAN ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน Trust Site Infrastructure Certificate หรือ (TSI Certificate) Level 3 จากสถาบัน TUVIT เพื่อรับรองว่า Data Center แห่งนั้นมีเสถียรภาพสูง รองรับการใช้งานในลักษณะที่เป็น Mission Critical ได้ เป็นอาคารที่ออกแบบก่อสร้างขึ้นมาสำหรับให้บริการ Data Center โดยเฉพาะ พร้อมให้บริการในรูปแบบ Carrier-Neutral ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกใช้วงจรเชื่อมโยงจาก Network Operator ต่าง ๆ ได้ ตอกย้ำความพร้อมของ CAT ในการเป็นผู้นำด้าน Data Center ของประเทศไทย และในภูมิภาคอาเซียน
เพื่อร่วมฉลองโอกาสพิเศษครั้งนี้ CAT มอบโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาบริการ CAT Data Center: Server Co-location ขนาด Full Rack ณ อาคาร “CAT Data Center Nonthaburi II” ด้วยส่วนลดค่าใช้บริการปกติ สูงสุดถึง 40%
รายงานข่าวจาก บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท J.D. Power Asia Pacific ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการข้อมูลทางการตลาดระดับโลก ได้ประกาศผลการจัดอันดับให้ บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ จำกัด เป็นบริษัทที่ได้รับความพึงพอใจสูงสุดต่อเนื่องเป็นเวลา 6 ปีติดต่อกัน รวมทั้งในปี 2015 ที่มีการศึกษาความพึงพอใจของลูกค้าทั้งในส่วนของเครื่องถ่ายเอกสารสีและเครื่องพิมพ์สี พบว่าลูกค้ามีความพึงพอใจผลิตภัณฑ์ของ บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ มากที่สุด และจากการศึกษาพบว่าที่ ฟูจิ ซีร็อกซ์ ได้รับคะแนนสูงสุดมาจาก 2 ปัจจัย ที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจของลูกค้า ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์ และ 2.ตัวแทนฝ่ายขายและการแนะนำระบบ
ที่ผ่านมา ฟูจิ ซีร็อกซ์ ยึดมั่นในเรื่องการบริการลูกค้า ให้เป็นพื้นฐานของทุกกิจกรรมขององค์กร โดยในปี 2001 ฟูจิ ซีร็อกซ์ ได้กำหนดแนวทางในด้านการบริการลูกค้า เพื่อให้พนักงานนำไปใช้ในการปฏิบัติงาน ซึ่งไม่เพียงพนักงานขายที่ทำหน้าที่ติดต่อลูกค้าโดยตรง แต่ยังรวมถึงส่วนงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนพนักงานในสำนักงานใหญ่ ที่สามารถให้บริการลูกค้าได้ด้วย ด้วยชื่อเสียงของ ฟูจิ ซีร็อกซ์ ในความมุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับลูกค้าด้วยการนำเสนอบริการและโซลูชั่นคุณภาพสูง เพื่อช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจให้กับลูกค้า
ทั้งนี้ JD Power Asia Pacific ดำเนินการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าในปีนี้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นองค์กรธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นที่มีพนักงาน 30 คนขึ้นไป โดยสำรวจความพึงพอใจจากการศึกษาเครื่องถ่ายเอกสารสีจำนวน 6,688 กลุ่มตัวอย่าง และผลการศึกษาความพึงพอใจเครื่องพิมพ์สีของลูกค้าจำนวน 2,396 ตัวอย่าง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ JD Power Asia Pacific: http://japan.jdpower.com/
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน "ตลาดนัดนวัตกรรมการแพทย์ไทย" “ผลิตภัณฑ์จากแนวคิด สิ่งประดิษฐ์ด้านการแพทย์” โดยมี ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวรายงาน และ ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต้อนรับ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ร่วมเปิดงานดังกล่าวฯ สำหรับการจัดงานตลาดนัดนวัตกรรมการแพทย์ไทยเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพ ณ ฮอลล์ 9 อาคารอิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งานตลาดนัดนวัตกรรมการแพทย์ไทยเป็นครั้งแรกของไทยที่รวบรวมผู้พัฒนานวัตกรรมฝีมือคนไทยกว่า 1,000 รายการ นักลงทุน หน่วยงานสนับสนุนการแพทย์และสาธารณสุขให้มาพบปะกัน เพิ่มโอกาสจับคู่การเจรจาธุรกิจ ผลักดันเป็นรากฐานพัฒนาศักยภาพประเทศ ทั้งหนุนงบวิจัยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 1 ของจีดีพี เพิ่มสัดส่วนสนับสนุนรัฐต่อเอกชน 30 : 70 จัดทำบัญชีนวัตกรรมการแพทย์ไทย และสร้างตลาดนวัตกรรมภาครัฐ นำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้ พร้อมดันไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์และสาธารณสุขของอาเซียน นอกจากนี้ แนวคิดระบบนวัตกรรมแห่งชาติ ยังเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของประเทศ และควรเชื่อมโยงเข้ากับระบบอื่น ๆ อาทิ ระบบเศรษฐกิจมหภาค ระบบการศึกษา โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตลอดจนภาวะตลาดของสินค้าและปัจจัยการผลิต ซึ่งนโยบายของรัฐบาลให้ความสำคัญในการวิจัย พัฒนาต่อยอด และสร้างนวัตกรรมเพื่อนำไปสู่การผลิตและบริการที่ทันสมัย
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ กระทรวงสาธารณสุข หาวิธีคิดและดำเนินการเรื่องการใช้ยางให้เกิดประโยชน์ให้ได้มากที่สุด รวมถึงการผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ที่สามารถใช้ภายในบ้านได้ ให้กับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง
ศ.ดร.ยงยุทธ กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เกิดการพบปะกันระหว่างผู้พัฒนานวัตกรรมและผู้ใช้นวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุข อันจะก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานและสามารถนำไปใช้ได้จริง ลดการนำเข้าจากต่างประเทศส่งเสริมให้ประชาชนได้เข้าถึงตามความจำเป็นด้านสุขภาพและส่งผลให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพของอาเซียนได้ในอนาคต และกลุ่มเป้าหมายที่มาร่วมงานครั้งนี้ ไม่ต่ำกว่า 3,000 คน จากจำนวนผู้ลงทะเบียนล่วงหน้า แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.ผู้คิดค้นนวัตกรรม ทั้งจากภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา มีผลิตภัณฑ์มาแสดงไม่ต่ำกว่า 1,000 ราย การ 2.ผู้ใช้งานนวัตกรรมการแพทย์ ทั้งจาก รพ.รัฐและเอกชน และสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3.ส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม สนับสนุนนวัตกรรมการแพทย์ และสาธารณสุข 4.ประชาชนผู้สนใจทั่วไป
ศ.นพ.รัชตะ กล่าวว่า งานนวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุขไทย ในปัจจุบันได้มีความก้าวหน้าไปอย่างมาก มีผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากความรู้ความสามารถของนักประดิษฐ์ไทย แต่ยังขาดการบูรณาการระหว่างผู้คิดค้น หน่วยงานของรัฐ นักลงทุน ภาคเอกชน ความต้องการของผู้ใช้ รวมถึงการได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐอย่างเป็นระบบ การจัดงานในครั้งนี้จึงเป็นย่างก้าวสำคัญในการกระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดโอกาสในการพบปะแลกเปลี่ยนระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักประดิษฐ์รุ่นใหม่ ๆ อีกด้วยและหวังว่าการจัดงานในวันนี้ จะสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติทั้งในเรื่องการสร้างคน การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยก้าวหน้า สมดังเจตจำนงของการจัดงาน และนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต และสุขภาพที่ดีของทุกคนในสังคม ซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลักของการพัฒนาประเทศ ให้เกิด ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
งานตลาดนัดนวัตกรรมการแพทย์ไทยครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-20 สิงหาคม 2558 นี้ และได้นำผลงานนวัตกรรมการแพทย์ฝีมือคนไทย ประมาณ 1,000 รายการ มาจัดแสดงผล มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 3,000 ราย ซึ่งมีนวัตกรรมผลงานที่โดดเด่น อาทิ บ้านสำหรับผู้สูงอายุ ระบบหุ่นยนต์ผ่าตัด หุ่นยนต์ดินสอมินิ หุ่นยนต์สอนเด็กออทิสติก และรถพยาบาลนาโน เป็นต้น
สแกนเนีย รุกภาคใต้ขยายศักยภาพศูนย์บริการหาดใหญ่ รองรับการเปิด AEC พร้อมให้บริการอย่างเต็มประสิทธิภาพเดือนละกว่า 240 คัน ล่าสุดเดินแผนการตลาดเชิงรุกนำแชสซีส์รถโดยสารรุ่นใหม่ K410 EB6x2*4 ที่มีความยาว 13.6 เมตร สำหรับในกลุ่มรถบรรทุกนั้น ได้มีการนำรถบรรทุกรุ่น P360 LA6x2MSZ ที่เน้นความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลัก และ P410 LA6x4MSZ ที่เน้นตอบสนองงานบรรทุกหนัก และทางขึ้นเขา ทางลาดชัน มาลงพื้นที่ให้ลูกค้าได้สัมผัสของจริง
นายภูริวัทน์ รักอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการประจำภูมิภาค บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด กล่าวถึงการขยายศักยภาพศูนย์บริการหาดใหญ่ เพื่อรองรับกับการเติบโตของกลุ่มลูกค้าในภาคใต้ของ สแกนเนีย ว่า หาดใหญ่ ถือเป็นหนึ่งในจุดยุทธ์ศาสตร์สำคัญของภาคใต้ เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อไปได้ทั้งภาคใต้ตอนบน ภาคใต้ตอนล่าง รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย และ สิงคโปร์ ซึ่งการเปิด AEC เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์เกิดการตื่นตัว ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าจำเป็นต้องมีการพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพทางธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ สแกนเนียซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นรถที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่นำสมัย มีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัยสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงเป็นตัวเลือกอันดับต้นของผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาศักยภาพและเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความคุ้มค่าต่อการลงทุน
สำหรับการขยายศักยภาพศูนย์บริการหาดใหญ่ในครั้งนี้ เป็นการย้ายจากศูนย์บริการเดิม มายังสถานที่ใหม่ซึ่งมีพื้นที่ถึง 5 ไร่ โดยเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา ศูนย์บริการแห่งใหม่นี้ได้รับการออกแบบตามมาตรฐานศูนย์บริการสแกนเนียทั่วโลก และมีการให้บริการกับลูกค้าอย่างครบวงจร ทั้งในด้านของการขาย การให้บริการ และการซ่อมบำรุงรักษา ในลักษณะของ Total Solutions
โดยในการให้บริการซ่อมและบำรุงรักษานั้น มีการเพิ่มช่องบริการจาก 3 ช่อง เป็น 6 ช่อง ทำให้สามารถให้บริการซ่อมบำรุงทั่วไปได้ถึงวันละ 14 คัน หรือ 420 คันต่อเดือน ซึ่งจะอยู่ในการดูแลของช่างสแกนเนีย ซึ่งมีประสบการณ์และผ่านการอบรมในการตรวจวิเคราะห์การซ่อมบำรุงมาอย่างเชี่ยวชาญ ทำให้วิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุด ส่งผลให้ใช้ระยะเวลาในการซ่อมบำรุงรักษารถสแกนเนียน้อยลง ส่วนด้านอะไหล่นั้น ศูนย์บริการหาดใหญ่ มีการสต๊อกอะไหล่ไว้เพื่อให้บริการตลอดเวลา แต่ในกรณีที่จำเป็นจะต้องมีการสั่งอะไหล่จากต่างประเทศก็สามารถได้รับอะไหล่ภายในระยะเวลา 3 วันทำการ
สำหรับลูกค้าที่นำรถเข้ามาใช้ศูนย์บริการ สแกนเนีย หาดใหญ่ ในช่วงนี้ จะได้รับโปรโมชั่นพิเศษสำหรับการตรวจเช็คสภาพรถฟรี ลดค่าแรง 20% และลดค่าอะไหล่ 10% ถึงวันที่ 15 กันยายน 2558 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมศูนย์บริการ สแกนเนีย หาดใหญ่ ได้ที่ โทร 074-457576 แฟกซ์ 074-457573
รศ.นพ.ธันย์ สุภัทรพันธ์ รองคณบดีฝ่ายบริการ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และ นพ.ไพโรจน์ บุญคงชื่น รองผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วย นายอาศิส อัญญะโพธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาและจัดการแอพพลิเคชัน สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (EGA) ร่วมกันเปิดตัวแอพพลิเคชัน “RAMA Appointment” เพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างผู้รับบริการและประชาชนทั่วไป อำนวยความสะดวกดูรายการนัดหมายและขอเลื่อนนัดหมายได้ด้วยตนเอง สะดวกรวดเร็วได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ (Mobile Devices) เป็นโครงการนำร่องโรงพยาบาลรัฐแห่งแรก พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้ววันนี้ ผ่านระบบปฏิบัติการ iOS, Android และ GAC ศูนย์กลางแอพพลิเคชั่นภาครัฐ ณ ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กรุงเทพฯ
สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เร่งพัฒนาสารมาตรฐานเพื่อให้ห้องปฏิบัติการทดสอบในประเทศใช้สำหรับการยืนยันความถูกต้องของการวิเคราะห์ปริมาณสารหนูอนินทรีย์ในตัวอย่างข้าว ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ปริมาณสารหนูอนินทรีย์ในตัวอย่างข้าวจากหลายแหล่งผลิตในประเทศไทย ยืนยันได้ว่าปริมาณสารหนูอนินทรีย์ที่ปนเปื้อนในข้าวไทยอยู่ในระดับที่ไม่เกินมาตรฐานของ Codex Alimentarius สนับสนุนการรายงานผลการวิเคราะห์การปนเปื้อนของสารหนูในข้าวของห้องปฏิบัติการ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช) และ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (วพ.)
ในช่วงที่ผ่านมามีการเสนอข่าวการปนเปื้อน สารหนูอนินทรีย์ในข้าวไทยที่รายงานโดยนักวิจัยจากสหราชอาณาจักร ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้บริโภคข้าวของประเทศไทยเป็นอย่างมาก และอาจกระทบต่อการส่งออกข้าวไทยในอนาคตหากมีการหยิบยกประเด็นข่าวนี้ขึ้นมาเพื่อกีดกันสินค้าข้าวจากประเทศไทย เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับการส่งออกกุ้ง เนื่องจากสารหนูเป็นธาตุที่มีความเป็นพิษสูง และก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น เบาหวาน โลหิตจาง โรคหัวใจ รวมถึงโรคมะเร็งในส่วนสำคัญต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ผิวหนัง กระเพาะปัสสาวะ ปอด เป็นต้น ซึ่งสารหนูที่พบในธรรมชาติแบ่งออกเป็นสารหนูอนินทรีย์และสารหนูอินทรีย์ หน่วยงานขององค์การอนามัยโลกจัดสารหนูอนินทรีย์เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ในขณะที่สารหนูอินทรีย์ ซึ่งพบมากในสัตว์ทะเลเป็นรูปฟอร์มของสารหนูที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
โดยหน่วยงานภาครัฐ (มกอช. และ วพ.) ได้ออกมาให้ความมั่นใจว่าปริมาณการปนเปื้อนของสารหนูอนินทรีย์ในข้าวไทยนั้น อยู่ในระดับที่ไม่เกินมาตรฐานของ Codex Alimentarius ที่กำลังจะประกาศในปี พ.ศ. 2559 (ข้าวขาวปริมาณไม่เกิน 0.2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และ ข้าวกล้องไม่เกิน 0.35 มิลลิกรัม/กิโลกรัม)
พร้อมกันนี้ ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์อนินทรีย์เคมี สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ ได้ดำเนินการพัฒนาวิธีการตรวจวัดปริมาณสารหนูอนินทรีย์ในตัวอย่างชนิดต่าง ๆ ด้วยเทคนิคคู่ควบ HPLC-ICP-MS โดยทำการแยกรูปฟอร์มของสารหนูผ่านเครื่อง HPLC และเชื่อมต่อด้วยเครื่องตรวจวัด ICP-MS แบบออนไลน์ ซึ่งวิธีดังกล่าวสามารถรายงานผลการวัดในระดับที่มีความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 8 % จัดเป็นก้าวแรกและเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับงานวิเคราะห์รูปฟอร์มของธาตุในภูมิภาค โดยห้องปฏิบัติการวิเคราะห์อนินทรีย์เคมี ยังได้เข้าร่วมเปรียบเทียบผลการวัดระหว่างประเทศ ในระดับมาตรวิทยาโลก เพื่อแสดงความสามารถในการวัดระดับสากล พบว่าผลอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ซึ่งวิธีการวิเคราะห์รูปฟอร์มสารหนูในข้าวนี้ จะสามารถนำไปใช้ในการให้ค่าอ้างอิงกับตัวอย่างสำหรับการทดสอบความชำนาญในภูมิภาคอาเซียนได้ รวมถึงอาจนำไปใช้ถ่ายทอดเทคนิคการวัดให้กับนักวิเคราะห์แก่หน่วยงานอื่น ๆ ที่สนใจอีกด้วย
จากภารกิจด้านการวัดของ มว. ที่ผ่านมารวมไปถึงที่กล่าวมาข้างต้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้นานาชาติที่ต้องดำเนินกิจกรรมการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า เพื่อการอุปโภค บริโภค เกิดความมั่นใจ และยอมรับในผลการตรวจวัด วิเคราะห์ ของห้องปฏิบัติการในไทย เพื่อลดการกีดกันทางการค้า เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารในชีวิตประจำวันให้มากที่สุด
บริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) หรือ น้ำผลไม้ “มาลี” เข้ารับพระราชทานเสื้อ และเข็มกลัดหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พร้อมมอบผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ ตรามาลี รวมมูลค่า 175,000 บาท เพื่อสนับสนุนกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา หรือ กิจกรรม “ปั่นเพื่อแม่” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พสกนิกรทั่วประเทศไทยได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมอันเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี โดยมี ร้อยเอก หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับมอบผลิตภัณฑ์
บริษัท ลูซี่ อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำทางด้านอุปกรณ์ป้องกันการจ่ายไฟฟ้าด้านทุติยภูมิจากประเทศอังกฤษ ที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 200 ปี นำโดย คุณจอห์น เอ กริฟฟิธส์ ประธานกรรมการบริษัท ลูซี่ อิเล็คทริค และ คุณพอล เกเทอร์ ผู้จัดการทั่วไปของบริษัท ลูซี่ อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยพนักงานบริษัทฯ ได้จัดทำกิจกรรมเพื่อเป็นการตอบแทนสังคมโดยได้นำเงินบริจาคและสิ่งของ รวมทั้งจัดกิจกรรมสันทนาการ ณ มูลนิธิบ้านจริงใจ จังหวัดชลบุรี
มูลนิธิบ้านจริงใจดำเนินงานด้านสังคมสงเคราะห์แก่เด็กกำพร้าและเด็กด้อยโอกาสในชุมชน ตั้งอยู่ที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยกิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของบริษัท ลูซี่ อิเล็คทริค ที่มุ่งเน้นในด้านการพัฒนาชุมชนที่อยู่อาศัยและส่งเสริมความเป็นอยู่ของเยาวชนในบริเวณจังหวัดระยองและชลบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานของบริษัทฯ กิจกรรมนี้ถือเป็นกิจกรรมตอบแทนสังคมกิจกรรมแรกที่ลูซี่ อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดขึ้น นับตั้งแต่บริษัทฯ ได้มีการมาลงทุนและขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับตั้งแต่ปี 2557
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งผู้ประกอบการ SMEs ไทย รุกหารือสถาบันการเงินทั่วประเทศ เพื่อผลักดันแนวทางขยายโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถ ผ่านการเชื่อมโยงและส่งต่อข้อมูลผู้ประกอบการไปยังสถาบันการเงินโดยตรง ซึ่งจะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยก่อนหน้านี้ กสอ. ได้นำร่องทำ MOU ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(SME Bank) ส่งผลให้ในปี 2558 มีกิจการที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้วถึง 269 กิจการ คิดเป็นวงเงินทั้งสิ้น 1,005.80 ล้านบาท
นายอาทิตย์ วุฒิคะโร อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เปิดเผยว่า นับจากนี้เหลือเวลาไม่ถึง 5 เดือน ที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 10 ประเทศ จะก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ กสอ. ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ให้สามารถแข่งขันในตลาดเสรีได้อย่างยั่งยืน ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถผู้ประกอบการไทย ผ่านการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในด้านการบริการจัดการ การผลิต และการขยายกิจการ กสอ. จึงได้ร่วมกับสถาบันการเงินทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมกันหารือถึงแนวทางเพิ่มโอกาสการอนุมัติเงินทุน ผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพด้านต่าง ๆ ไปยังสถาบันการเงินโดยตรง ซึ่งในทางปฏิบัติจะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประเทศในภาพรวม เพราะผู้ประกอบการกลุ่มนี้มี มากถึง 2.7 ล้านราย หรือคิดเป็น กว่าร้อยละ 80 ของการจ้างงานรวมทั้งประเทศ
นายอาทิตย์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา กสอ. ได้มีการทำ MOU กับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) ในลักษณะการส่งต่อข้อมูลผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อขอรับสินเชื่อจาก SMEs Bank ในปี 2558 จำนวน 478 กิจการ วงเงิน 2,016 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้รับอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว จำนวน 269 กิจการ เป็นวงเงินทั้งสิ้น 1,005.80 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มอีกจำนวน 188 กิจการ ผลจากการดำเนินโครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการด้านต่าง ๆ ได้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ประกอบการ SMEs ที่ผ่านการส่งเสริมและพัฒนาจาก กสอ. มีโอกาสสูงมากที่จะได้รับการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ดังนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างต่อเนื่อง กสอ. จึงได้ขยายผลโดยการดำเนินงานโดยเชิญสถาบันการเงินชั้นนำ กว่า 20 แห่ง เข้าร่วมหารือเพื่อเร่งรัดให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรม SMEs ไทย ทั้งนี้ กสอ. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการหารือกันในครั้งนี้ จะสามารถเป็นแกนกลาง ในการส่งต่อผู้ประกอบการไปสู่สถาบันการเงินแห่งอื่น ๆ ได้มากขึ้น รวมทั้งการขยายความร่วมมือด้านต่าง ๆ เพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ในการก้าวสู่ผู้นำตลาดอาเซียนในอนาคต
บริษัท อัลไลด์ เทเลซิส ผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีอัจฉริยะสำหรับโลกสารสนเทศที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ได้เปิดสำนักงานแห่งใหม่ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สืบเนื่องจากการขยายตัวของธุรกิจอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
บริษัท อัลไลด์ เทลเลซิส มีประสบการณ์ที่ยาวนานในด้านการสนับสนุนช่วยเหลือผู้บริหารและผู้นำภาครัฐในการนำวิสัยทัศน์ของพวกเขาไปดำเนินการให้เป็นจริงภายใต้การเชื่อมโยงที่สอดประสานครอบคลุมทั่วทั้งองค์กรและเมืองนั้น ๆ การมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้บริษัท อัลไลด์ เทเลซิส มีส่วนร่วมสำคัญในการพัฒนาด้านต่าง ๆ เช่น อากาศยาน กลาโหม การบริหารจัดการทรัพยากร การรักษาความปลอดภัยสาธารณะ และระบบขนส่ง
“เรามองเห็นโอกาสของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตั้งแต่เมื่อ 20 ปีมาแล้ว และการเดินหน้าตั้งฐานที่มั่นในประเทศกัมพูชา เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเราในการขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดแห่งนี้” นาย จาคับ ดุช รองประธานฝ่ายการขายระหว่างประเทศ บริษัท อัลไลด์ เทเลซิส กล่าว และว่า “สำนักงานใหม่แห่งนี้จะช่วยให้เราสามารถจัดเตรียมการสนับสนุนและการให้บริการระดับสูงให้กับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชนในประเทศกัมพูชาได้อย่างดีเยี่ยมเช่นเดียวกับที่เราได้ดำเนินการในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้”
ปัจจุบันบริษัท อัลไลด์ เทเลซิส มีพนักงานกว่า 2,000 คนทั่วโลก การขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศใหม่ ๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ตลาดเกิดการเติบโต และบริษัท อัลไลด์ เทเลซิส มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เปิดสำนักงานในประเทศกัมพูชา บริษัทฯได้มอบหมายให้พนักงานที่มีประสบการณ์สูงเข้ามาดูแลในส่วนเทคโนโลยีของกัมพูชาโดยเฉพาะ “เราภูมิใจกับทีมงานใหม่ของเราในกัมพูชาและความสำเร็จในเบื้องต้นที่เราได้รับ ขณะนี้เรากำลังเดินหน้าสานความสัมพันธ์กับทุกภาคส่วนในกัมพูชา” นายดุช กล่าว
นับตั้งแต่เดินหน้าเข้าสู่ตลาดเอเชียแปซิฟิก บริษัท อัลไลด์ เทเลซิส ได้เสริมสร้างความสัมพันธ์อย่างแข็งแกร่งร่วมกับลูกค้าชาวญี่ปุ่นทั่วทั้งภูมิภาค “ลูกค้าองค์กรและกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ติดตั้งระบบชาวญี่ปุ่นจะได้รับการดูแลทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และบริการระดับมืออาชีพจากพนักงานชาวญี่ปุ่นและพนักงานท้องถิ่นของเรา” นายดุช กล่าว และว่า “รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังให้การสนับสนุนโครงการต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคแห่งนี้ เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) และเรากำลังอยู่ในตำแหน่งที่ดีและพร้อมสำหรับการให้บริการและตอบสนองความต้องการของประเทศเหล่านี้”
บริษัท เซสน่า แอร์คราฟท์ จำกัด (Cessna Aircraft) บริษัทในเครือ เท็กซ์ตรอน เอวิเอชั่น อิงค์ (Textron Aviation Inc.) ประกาศวันนี้ ว่าบริษัทได้ส่งมอบเครื่องบินรุ่น เซสน่า แกรนด์ คาราวาน อีเอ็กซ์ (Cessna Grand Caravan EX) แบบเครื่องยนต์เดี่ยว จำนวนสองลำให้แก่ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ภายใต้รัฐบาลไทย นับเป็นการส่งมอบเครื่องบินรุ่นนี้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย กรมฝนหลวงและการบินเกษตร จะใช้งานเครื่องบินแกรนด์ คาราวาน อีเอ็กซ์ จากสนามบินนานาชาติหัวหินทางตอนเหนือของจังหวัดประจวบคิรีขันธ์
“การเลือกเครื่องบินที่ได้รับความไว้วางใจและใช้งานได้หลากหลาย เป็นหัวใจสำคัญของภารกิจแก้ไขปัญหาสภาพอากาศ และ เซสน่า แกรนด์ คาราวาน อีเอ็กซ์ ก็ได้รับการพิสูจน์ว่ามีสมรรถนะสูงสุดมาโดยตลอด” มร.คริส โบการ์ส รองประธานฝ่ายการขายต่างประเทศกล่าว “เรามักจะได้ยินจากลูกค้าเสมอ ๆ ว่า แกรนด์ คาราวาน อีเอ็กซ์ เป็นเครื่องบินที่พวกเขาให้ความไว้วางใจ”
กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของรัฐบาลไทย มีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาภัยแล้งที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยการรักษาปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาและปริมาณน้ำในแหล่งกักเก็บน้ำทั่วประเทศ หน่วยงานแห่งนี้มีการใช้งานเครื่องบินของเท็กซ์ตรอน เอวิเอชั่น เช่น เซสน่า 180 (Cessna 180) เซสน่า สเตชั่นแนร์ 206 (Cessna Stationair 206) เซสน่า 310 (Cessna 310) บีชคราฟท์ ซุปเปอร์คิง แอร์ 350บี (Beechcraft Super King Air 350B) และ บีชคราฟท์ คิง แอร์ 350ไอ (Beechcraft King Air 350i) มาตั้งแต่ช่วงปลายปี พ.ศ.2506
คอนเนอร์ยี (Conergy) หนึ่งในบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์ระหว่างประเทศชั้นนำในประเทศไทย และ เอทีซี เอ็นไวโร่ (ATC Enviro) บริษัทในเครือ ซิมไบโอร์ โซล่า กรุ๊ป (Symbior Solar Group) ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำของเอเชีย ได้ประกาศแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่อีก 3 แห่งในประเทศไทย โดยโรงไฟฟ้าทั้งสามแห่งนี้จะมีกำลังการผลิตรวมกว่า 19 เมกะวัตต์
คอนเนอร์ยีจะเป็นผู้รับผิดชอบงานวางแผน วิศวกรรม งานออกแบบ และงานจัดหาส่วนประกอบให้แก่โรงไฟฟ้า คอนเนอร์ยีจะร่วมกับ บริษัท เอ็นซิส กรุ๊ป ซึ่งเป็นพันธมิตรในประเทศไทยในด้านงานก่อสร้าง ปัจจุบัน ซิมไบโอร์ โซล่ามีโครงการแผงโซลาเซลล์ 6 แห่งในประเทศไทย ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกว่า 30 เมกะวัตต์ และวางแผนที่จะพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ทั่วทั้งเอเชีย ให้มีกำลังการผลิตเพิ่มเติมอีก 100 เมกะวัตต์ในปีพ.ศ. 2558 ถึง 2559
“ในมุมมองของ ซิมไบโอร์ เราเชื่อว่าธุรกิจด้านพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงมีทิศทางที่ดีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ที่เติบโตเร็วที่สุด” มร.ฟลอเรียน เบนโฮลด์ ประธานกรรมการบริหาร ซิมไบโอร์ โซล่า กล่าว “คอนเนอร์ยีเป็นพาร์ทเนอร์ที่อุทิศตนให้แก่ซิมไบโอร์ ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การทำงานในภูมิภาค ในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าการลงทุน”
เมื่อการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินในจังหวัดปราจีนบุรีแล้วเสร็จ จะทำให้มีโรงไฟฟ้า 2 แห่งตั้งอยู่ในอำเภอศรีมหาโพธิ ซึ่งจะมีกำลังผลิตติดตั้งโรงละ 8 เมกะวัตต์ และอีก 1 แห่งในอำเภอศรีมโหสถ ซึ่งจะมีกำลังการผลิตติดตั้ง 3 เมกะวัตต์
โรงไฟฟ้า 2 แห่งในอำเภอศรีมหาโพธิ จะผลิตไฟฟ้าได้โรงละ 11,675 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ในขณะที่โรงไฟฟ้าอีก 1 แห่งในอำเภอศรีมโหสถ จะผลิตไฟฟ้าได้ 4,374 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว โรงไฟฟ้าทั้งสามแห่งจะจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่บ้านเรือนในจังหวัดปราจีนบุรีได้ประมาณ 28,000 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี
ปราจีนบุรี เป็นจังหวัดที่มีทัศนียภาพสวยงาม ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกของประเทศไทย เป็นแหล่งปลูกหน่อไม้ไผ่ตงอันมีชื่อเสียง นอกจากนี้ปราจีนบุรียังเป็นแหล่งผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ที่มีคุณภาพสูงเพื่อการส่งออกอีกด้วย
การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าทั้งสามแห่งนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 17,000 ตันต่อปี โรงไฟฟ้าขนาด 8 เมกะวัตต์ ทั้ง 2 แห่ง จะก่อสร้างบนพื้นที่ขนาด 213,992 ตารางเมตร ในขณะที่โรงไฟฟ้าขนาด 3 เมกะวัตต์ จะก่อสร้างบนพื้นที่ขนาด 46,000 ตารางเมตร โรงไฟฟ้าทั้งสามแห่งจะติดตั้งด้วยแผงโซล่าเซลล์ของคอนเนอร์ยี รุ่น PE310P จำนวน 61,260 แผ่น ระบบยึดแผงโซล่าคอนเนอร์ยี Sigma II และโซล่าอินเวอร์เตอร์ 19 เครื่อง
มร.อเล็กซานเดอร์ เลนซ์ ประธานของคอนเนอร์ยี เอเชียและตะวันออกกลาง กล่าวว่า “ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานทดแทนและลดการพึ่งพิงเชื้อเพลิงจากฟอลซิล พลังงานแสงอาทิตย์เป็นส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ร่วมกับซิมไบโอร์ เน้นย้ำให้เห็นถึงการเติบโตของพลังงานแสงอาทิตย์ และบริษัทที่มีวิสัยทัศน์หลายแห่ง ได้มุ่งมั่นเข้าร่วมเป็นพันธมิตรในการมุ่งสู่เป้าหมายที่จะร่วมกันผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้ได้ร้อยละ 20 ของพลังงานที่ผลิตทั้งหมด ภายในปีพ.ศ. 2579”
มร. เลนซ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง เนื่องมาจากประเทศไทยมีแสงอาทิตย์ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังมีพื้นที่ที่เหมาะสมในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “พลังงานแสงอาทิตย์จะสามารถช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เป็นจำนวนมาก พลังงานแสงอาทิตย์จึงเป็นหนทางสู่การสร้างสภาพแวดล้อมอันยั่งยืนในที่สุด”
บริษัท นิวแม็ก จำกัด แผนก Valve & Pump ได้จัดสัมมนาลูกค้าเชิงวิชาการเกี่ยวกับ High Vicosity Fluid Pump ขึ้นในวันที่ 26 มิถุนายน 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งมีหลายบริษัทชั้นนำให้ความสนใจเข้าร่วมการสัมมนาเป็นจำนวนมาก ในการสัมมนาครั้งนี้ได้เน้นเรื่องความรู้เกี่ยวกับ การเลือกใช้ปั๊มให้เหมาะกับความต้องการ การนำไปใช้งานจริง การแก้ปัญหาเบื้องต้น การดูแลบำรุงรักษาปั๊ม มีการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์การใช้งาน รวมทั้งข้อมูลทางเทคนิคต่าง ๆ กับทางวิทยากรด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง
ซึ่งทางบริษัทฯ ได้สร้างความมั่นใจในคุณภาพของสินค้า โดยให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้เยี่ยมชมกับสินค้าของจริงที่มีความหลากหลาย และตรงกับความต้องการของลูกค้า พร้อมทั้งมีการยกตัวอย่างภาพหน้างาน ที่เราได้มีการติดตั้งให้กับผู้ใช้งานไปแล้ว เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นถึงประสิทธิภาพ และประโยชน์สูงสุด ทางบริษัทฯ ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชม และทางบริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีจากท่านอีกในโอกาสต่อ ๆ ไป
นับเป็นนิมิตหมายอันดีในการสร้างบรรทัดฐานให้งานบริการไอทีในหลายองค์กรได้นำไปปรับใช้จริง !
บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และทีมงานนิตยสารไมโครคอมพิวเตอร์ นิตยสารเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีในองค์กรธุรกิจทุกระดับ ประสบความสำเร็จเกินคาดหมายในการจัดงานสัมมนา “สู่ความเป็นเลิศด้านการบริการงานไอทีด้วยมาตรฐาน ITIL” เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยได้รับความร่วมมือจาก ดร.วิรินทร์ เมฆประดิษฐสิน ประธานกรรมการและอาจารย์ประจำ บริษัท อเมริกัน อินฟอร์เมชั่น ซิสเต็ม จำกัด ให้เกียรติเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้แก่ผู้เข้าอบรมที่มาร่วมงานสัมมนากันอย่างคับคั่ง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ บริษัทห้างร้านต่าง ๆ รวมถึงองค์กรธุรกิจหลากหลายแขนง ตลอดจนผู้สนใจทั่วไป ซึ่งผู้เข้าร่วมสัมมนาไม่เพียงแต่ได้ทำความเข้าใจประโยชน์ของการใช้ ITIL ในองค์กรอย่างลึกซึ้งเท่านั้น ยังสามารถนำ ITIL ไปปรับใช้เพื่อสร้างบรรทัดฐานงานบริการด้านไอทีภายในองค์กรของตนให้เห็นผลได้จริง
อีกทั้งเรียนรู้ถึงแนวทางเชิงปฏิบัติที่ช่วยปรับปรุงและพัฒนาระบบบริหารจัดการไอที การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับไอทีอย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากการบริหารการให้บริการไอที และการสร้างเครื่องมือบริหารด้านไอทีระดับมืออาชีพเฉกเช่นเดียวกับองค์กรบริการไอทีระดับโลก ถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับการสร้างมาตรฐาน ITIL ในเมืองไทย
ไอเอฟเอส บริษัทผู้พัฒนาซอฟแวร์สำหรับธุรกิจชั้นนำระดับโลก เปิดเผยว่า กองทัพอากาศ โดย กรมช่างอากาศ เลือกใช้แอพพลิเคชั่นของไอเอฟเอสในสำหรับการบริหารจัดการระบบซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ของเครื่องบินขับไล่ แบบ F-5E/F
กรมช่างอากาศ มองหาโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพสำหรับการควบคุมระบบการซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ รุ่น J85-GE-21B/C ที่ติดตั้งใช้งานกับเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงแบบ แอพพลิเคชั่นของไอเอฟเอสตอบโจทย์ความต้องการในการเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมขั้นตอนของการส่งกำลังและซ่อมบำรุงเครื่องยนต์แบบดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลต่อความพร้อมปฏิบัติการของเครื่องบิน F-5E/F
กรมช่างอากาศ กล่าวว่า “เราเลือกใช้แอพพลิเคชั่นของไอเอฟเอสเพราะว่าเรามองหาโซลูชั่นที่สมบูรณ์และพิสูจน์แล้วว่าสามารถทำให้ขั้นตอนในการควบคุมระบบการซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ของเราง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น เรารู้สึกประทับใจอย่างมากกับ User Interface ของแอพพลิเคชั่นจากไอเอฟเอสและการนำเสนอเมนูในรูปแบบภาษาไทยโดยทำให้การใช้งานง่ายขึ้นซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมายแก่หน่วยงาน ไอเอฟเอสเป็นโซลูชั่นที่สามารถติดตามได้ในอุตสาหกรรมด้านอากาศยาน (Aerospace) และยุทโธปกรณ์การรบ (Defense) และยังเป็นผู้ให้บริการระดับโลกสำหรับโซลูชั่นด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ขององค์กร (EAM) สำหรับอุตสาหกรรมประเภทนี้อีกด้วย เราจึงมีความมั่นใจอย่างสูงสำหรับการเลือกใช้ไอเอฟเอสในฐานะโซลูชั่นประจำหน่วยงานของเรา”
ศรีดาราน อรูมูแกม รองประธานบริษัทไอเอฟเอส ภูมิภาคอาเซียนตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ในระยะเวลาห้าหรือหกปีที่ผ่านมา ไอเอฟเอสเติบโตในประเทศไทยในอัตราเลขสองหลัก (Double-Digit Growth) สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของประเทศในระดับภูมิภาคสู่การเติบโตของธุรกิจในอนาคต ทั้งนี้ กรมช่างอากาศ ถือเป็นองค์กรที่สำคัญในการดูแลด้านอากาศยาน (Aerospace) และยุทโธปกรณ์การรบ (Defense) ของกองทัพอากาศไทย ซึ่งเป็นกองทัพอากาศที่อยู่ในระดับแนวหน้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับเป็นสิ่งยืนยันว่าไอเอฟเอสเป็นผู้เชี่ยวชาญในระดับโลกในแวดวงอุตสาหกรรมประเภทนี้ เราจึงมีความยินดีที่จะทำงานร่วมกับกองทัพอากาศและคาดหวังที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดในระยะยาวร่วมกันแบบพันธมิตร”
ไอเอฟเอสคาดว่า กมช่างอากาศจะดำเนินการเริ่มใช้โซลูชั่นในระยะเริ่มแรกสำหรับกองซ่อมเครื่องยนต์ กรมช่างอากาศ ณ ที่ตั้งดอนเมือง ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2559 และขยายแผนการใช้งานไปยัง กองบิน 21 จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเครื่องบินขับไล่แบบ F-5E/F บรรจุประจำการอยู่
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไอเอฟเอส ในการส่งเสริมองค์กรด้านอุตสาหกรรมอากาศยาน (Aerospace)และยุทโธปกรณ์การรบ (Defense) โปรดเยี่ยมชมได้ที่ http://www.ifsworld.com/en/industries/aerospace-and-defense/
รศ.ดร.ธำรงรัตน์ มุ่งเจริญ รองศาสตราจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และประธานคลัสเตอร์พลังงาน และ สิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ กรรมการสถาบันสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรมสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากภาวะวิกฤตเรือนกระจกผนวกกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก อนาคตมนุษย์จะต้องพบภาวะวิกฤตการขาดแคลนน้ำ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ปริมาณใช้น้ำเพิ่มขึ้น 2 เท่า ของอัตราการเพิ่มประชาการในศตวรรษที่ผ่านมา และภายในปี 2025 การใช้น้ำในประเทศกำลังพัฒนาจะเพิ่มขึ้น 50% และประเทศพัฒนาแล้วเพิ่มขึ้น 25 % และประชากรโลก 1.9 พันล้านคน จะอยู่ในประเทศที่มีการขาดแคลนน้ำ และ 2 ใน 3 ของประชากรโลกจะอยู่ในภาวะวิกฤตขาดน้ำ
จากเหตุการณ์นี้ส่งผลประทบอย่างมาก ต่อการเปลี่ยนแปลงด้านผลผลิตทางการเกษตรในปี พ.ศ.2623 ครั้งใหญ่ โดยประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงเรื่องน้ำสูง สำหรับประเทศไทยในปี2550 ประเทศไทยปล่อยก๊าซคาร์บอน 277.5 ล้านตันเป็นอันดับ 23 ของโลก ดังนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศ และนั้นคือถึงเวลาการปรับตัวของทุกภาคส่วนของประเทศที่จะต้องดำเนินการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้บรรลุเป้าหมาย ประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียน ปล่อยก๊าซเรือนกระจก สูงเป็นอันดับ 2 รองจากอินโดนีเซีย มีค่า GHG Emission 22% ส่วนอินโดนีเซีย 37%
ส่วนมาตรการที่ลดปริมาณคาร์บอนที่จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทยคือ การควบคุการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่อาจส่งผลต่อการลดขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทยคือ 1.สินค้าจะต้องแสดงค่าลดคาร์บอน Carbon Footprint 2) Sectorial Approach อุตสาหกรรมที่ปล่อย GHG สูง
รศ.ดร.ธำรงรัตน์ กล่าวต่อว่า ทิศทางตลาดโลกอนาคตกำลังเปลี่ยนไป สินค้าและผลิตภัณฑ์จะต้อง เป็น กรีน โปรดักต์ จะมีแต่ Eco-products และได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO หรือใบประกาศ และการลดคาร์บอนในการผลิต ตั้งแต่เลือกวัตถุดิบ จนถึงขบวนการใช้งานเมืองถึงมือผู้บริโภค โดยนำขบวนการ การประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment) หรือ LCA มาใช้และมีเครื่องการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม
สำหรับอุตสาหกรรมปัจจุบันการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมนั้น จะมีมาตรฐานอุตสาหกรรม ISO 14000 รับรอง แต่ด้วยเหตุกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมโลก กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ สินค้าต้องติดฉลากแสดงถึงการลดปริมาณคาร์บอนตามขบวนการ LAC หรือติดฉลาก Carbon ในอนาคต ดังนั้นอุตสาหกรรมไทยจะต้องปรับตัว ปัจจุบันไทยมีการนำร่องใช้แค่ 25 โรงงาน จำนวน 28 ผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่จะมีเพียง ติดฉลากรับรองสินค้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นฉลากเคลม จำนวน 1,388 ผลิตภัณฑ์ จาก 389 บริษัท
ดังนั้นการทิศทางอุตสาหกรรมไทย จะต้องทำความเข้าในเรื่องการมีฉลาก Carbon Footprint จะต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่อย่างเร่งด่วนเช่นกัน และการออกแบบสีเขียว สำหรับภาคเอกชนที่นำขบวนการประเมินวัฏจักรชีวิต LCA มาใช้ในอุตสาหกรรมที่น่าจับตา
ทั้งนี้ภาคอุตสาหกรรมสามารถเรียนรู้ข้อมูลดี ๆ พัฒนาการต่างเครื่องมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เครื่องมือทางห้องปฏิบัติการ การถ่ายทอดโนฮาวใหม่ ๆ ที่งาน ที่งาน Thailand LAB 2015 และ LIFE Sciences Asia 2015 ที่จะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 ในวันที่ 9-11กันยายน 2558 ที่ EH 105 และ EH 107 ณ ไบเทค บางนา โดยบริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิกฟิก จำกัด (VNU Exhibitions Asia Pacific) ได้ร่วมมือกับ สมาคมต่าง ๆ ทั้งในประเทศและในภูมิภาค จัดงานประชุมเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านงานวิจัย งานวิเคราะห์และตรวจสอบ ตลอดจนด้านนวัตกรรมเครื่องมือแล็บ
สามารถลงทะเบียนเข้าชมงาน ได้ที่ www.thailandlab.com หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :VNU Exhibitions Asia Pacific Co., Ltd. Tel: +662-670-0900 Ext. 201-209 Fax: +662-670-0908 Email:thailandlab@vnuexhibitionsap.com Website: www.thailandlab.com, Facebook Page:www.facebook.com/ThailandLab, Twitter: twitter.com/ThailandLAB, YoutubeChannel:www.youtube.com/ThailandLab
ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ คาด 10 ปีข้างหน้า ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีการเติบโตด้านโครงการเมืองอัจฉริยะสูงสุด ผลสำรวจระบุการลงทุนด้านความปลอดภัยสาธารณะจะต้องสามารถใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อข้อมูลด้านความปลอดภัยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อลดปัญหาอาชญากรรมได้อย่างสมบูรณ์
นายมารุต มณีสถิตย์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย และพม่า บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ พีทีอี ลิมิเต็ด กล่าวว่า บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น เผยถึงผลสำรวจด้านความปลอดภัยสาธารณะที่จัดทำขึ้นระหว่างการประชุม Safe Cities Asia Summit ครั้งที่ 2 ในประเทศสิงคโปร์ จากรายงานคาดการณ์ว่าภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกจะมีการเติบโตด้านโครงการเมืองอัจฉริยะสูงสุดในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยหลายเมืองจะมุ่งเน้นด้านการประหยัดต้นทุน และความคุ้มค่าจากการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างไรก็ดี ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าการสร้างเมืองให้มีความปลอดภัยสำหรับการใช้ชีวิต และการทำงาน เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญสูงสุดในการวางแผนโครงการเมืองอัจฉริยะ โดยผู้ร่วมการสำรวจร้อยละ 44 คาดว่าประเทศของพวกเขาจะมีการลงทุนด้านความปลอดภัยสาธารณะมากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 2 ปีข้างหน้า, ซึ่งร้อยละ 24 จากยอดลงทุนทั้งหมดจะใช้ไปกับเทคโนโลยีการเฝ้าระวังภัย หรือ Surveillance Technology, ร้อยละ 19 สำหรับการวิเคราะห์ด้าน Big Data และอีกร้อยละ 19 สำหรับเทคโนโลยีไร้สายและเครือข่าย
ความปลอดภัยสาธารณะของชุมชนเป็นประเด็นที่ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญสูงสุด ตามมาด้วยระบบขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานของเมือง ความก้าวหน้าของระบบอินเตอร์เน็ตหรือความสามารถของระบบสารสนเทศตามลำดับ ซึ่งถ้าเจาะลึกลงในประเด็นด้านความปลอดภัยสาธารณะนั้น ผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าสิ่งที่ประเทศของพวกเขาต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1.การสืบสวนด้านอาชญากรรม 2. ระบบขนส่งและบริการด้านจราจร และ 3. ความปลอดภัยของอินเตอร์เน็ต โดยการขาดความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ถูกเลือกให้เป็นปัจจัยหลักที่จะถ่วงการพัฒนาโครงการด้านความปลอดภัยสาธารณะนี้
ร้อยละ 95 ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญมากหรือมากที่สุดกับบทบาทของเทคโนโลยีต่อความปลอดภัยสาธารณะ โดยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยสาธารณะที่ส่วนใหญ่วางแผนจะลงทุนในช่วง 1 ปีข้างหน้า คือการเฝ้าระวังภัย, ตามมาด้วยการวิเคราะห์ด้าน big data และเทคโนโลยีไร้สายและเครือข่าย ซึ่งการรวม 3 สิ่งนี้เข้าด้วยกันจะช่วยพัฒนาความปลอดภัยในเมืองอัจฉริยะได้เป็นอย่างดี ดังนั้นภาครัฐจึงจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีมาวางแผนสำหรับโครงสร้างเมืองอัจฉริยะ เพื่อลดและป้องกันปัญหาอาชญากรรม ที่ผ่านมาพบว่าการใช้ประโยชน์จาก Big Data ในการประสานสิ่งต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบที่เชื่อมต่อกัน จะสร้างมูลค่ามากกว่าการใช้โซลูชั่นเดี่ยวในการพัฒนาความปลอดภัยสาธารณะ และการรวมระบบสารสนเทศต่าง ๆ เข้ากับทรัพยากรส่วนอื่น ๆ ของเมืองจะช่วยลดปัญหาอาชญากรรม และเพิ่มความปลอดภัยสาธารณะ ทั้งนี้การขยายเมือง และระบบขนส่งเองก็มีบทบาทสำคัญในการสอดส่อง และป้องกันปัญหาอาชญากรรม โดยจะระบุถึงรูปแบบอาชญากรรมหรือแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นได้ล่วงหน้าด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ อาทิ กล้องวิดีโอบนรถไฟ, ในห้างสรรพสินค้า และตามจุดต่าง ๆ ที่กระจายอยู่รอบเมือง ตลอดจนข้อมูลอื่น ๆ จากแหล่งโซเชียลเน็ตเวิร์ก อาทิ ทวิตเตอร์, เฟซบุ๊ก แล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ระบบวิเคราะห์ที่ทรงพลังเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความลึกซึ้งที่ช่วยระบุถึงแหล่งอาชญากรรมได้
ทั้งนี้ Safe Cities Asia เป็นการประชุมชั้นนำของวงการการรักษาความปลอดภัยระดับชาติของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อมุ่งประเด็นด้านการวางแผนเมือง ที่ได้รับการสนับสนุนการลงทุนด้านนวัตกรรมใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยผู้นำภาครัฐและอุตสาหกรรมในเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งจำนวนมากกว่า 1 ใน 4 ของผู้เข้าร่วมประชุมที่ตอบแบบสอบถามครั้งนี้มีพื้นหลังด้านเทคโนโลยี และส่วนที่เหลือประกอบด้วยกลุ่มนายกเทศมนตรี, ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรต่าง ๆ, ผู้แทนจากฝ่ายทหาร, ฝ่ายบริการฉุกเฉิน และผู้ให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐาน
“ผลการสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกกำลังมองหาโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีที่จะมีนัยสำคัญ และวัดได้ สำหรับเรื่องความปลอดภัยสาธารณะ โดยแม้จะมีความชัดเจนในกลุ่มผู้ร่วมตอบแบบสอบถามถึงความต้องการในการลงทุนด้านโซลูชั่นดังกล่าว แต่อุปสรรคสำคัญคือความท้าทายในการปรับใช้โครงการด้านความปลอดภัยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งการริเริ่มการรวมข้อมูลต่างๆภายในแพลตฟอร์มเดียวจะช่วยให้แต่ละเมืองสามารถเห็นความเป็นไปแบบองค์รวมเกี่ยวกับอาชญากรรมที่สอดคล้องกันได้” นายมารุต กล่าวเพิ่มเติม
กลุ่มอาจารย์จากบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) และคณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้สร้างเครือข่ายกับอาจารย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และมหาวิทยาลัยนเรศวรและจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศอีกสี่แห่งเป็นเครือข่ายวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการพัฒนาเครือข่ายวิจัยนานาชาติ หรือ IRN (International Research Network) จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย (สกว.) ซึ่งเป็นครั้งแรกของการให้ทุนนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างเครือข่ายวิจัยทั้งในและต่างประเทศ
ศ.ดร.สุรพงษ์ จิระรัตนานนท์ จาก JGSEE ในฐานะหัวหน้าเครือข่ายวิจัยผู้รับทุน กล่าวว่า โปรแกรมวิจัยที่ได้รับทุนในครั้งนี้คือ โครงการวิจัยพลังงานในอาคาร หรือ Building Energy Efficiency and Higher Environmental Quality ซึ่งเป็นโปรแกรมวิจัยภายใต้คลัสเตอร์ด้านพลังงาน และเป็นโปรแกรมวิจัยที่มีหลายมิติ ส่วนเหตุผลที่ต้องศึกษาในเรื่องนี้เนื่องมาจากปัจจุบันมีการใช้พลังงานในตัวอาคารค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงต้องมีการศึกษาวิจัยเพื่อหาข้อกำหนดว่าอาคารลักษณะใดที่เอื้อให้การใช้พลังงานในอาคารให้มีประสิทธิภาพสูงภายใต้สภาพภูมิอากาศร้อนชื้นของประเทศไทยและอาเซียน ซึ่งผลงานวิจัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ปฏิบัติและนำไปกำหนดนโยบายอนุรักษ์พลังงานภาคอาคารได้
“อาคารขนาดใหญ่มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศอยู่ทั่วประเทศ อากาศภายในอาคารจะมีอุณหภูมิต่ำกว่านอกอาคาร จึงเกิดการถ่ายเทความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายในอาคารได้สูงถ้ามีกรอบอาคารที่มีสมรรถนะพลังงานต่ำ กลายเป็นภาระให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนัก ใช้พลังงานสูง ทำอย่างไรจะลดภาระการใช้พลังงานลงได้ ด้วยการออกแบบอาคารให้แสงธรรมชาติสามารถส่องถึงในปริมาณที่พอเหมาะ ให้ได้ใช้แสงธรรมชาติแทนแสงจากไฟฟ้าและยังมีภาระการปรับอากาศที่ลดลง ซึ่งยังต้องศึกษากันในหลายมิติ แม้ที่ผ่านมาเราเคยพัฒนาข้อกำหนดในกฎกระทรวงเกี่ยวกับการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน แต่ยังไม่ได้มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง”
ศ.ดร.สุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับทุน IRN นี้เป็นทุนสำหรับนักศึกษาปริญญาเอกที่มีผลการเรียนดี จบการศึกษาด้านวิศวกรรม หรือ วิทยาศาสตร์ และระดับหลังปริญญาเอก ต้องเป็นผู้ที่มีประวัติผลงานดี โดยแบ่งทุนออกเป็น ปริญญาเอก 6 ทุน และหลังระดับหลังปริญญาเอก 3 ทุน รวมมูลค่าทุนทั้งสิ้น 17 ล้านบาท เป็นทุนประเภท L-full IRN Grant ทุนนี้ไม่มีข้อผูกมัดผู้รับทุนว่าจบแล้วต้องทำงานใช้ทุน เป้าหมายหลักของ IRN คือเพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีความเป็นเลิศเพิ่มขีดความสามารถให้มากกว่ามาตรฐาน และเกิดเป็นเครือข่ายในการพัฒนา สามารถให้คำแนะนำปรึกษาและแก้ไขปัญหาด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของประเทศต่อไป
สำหรับผู้ที่สนใจสมัครเข้ารับทุน IRN เพื่อศึกษาวิจัยในโครงการวิจัยพลังงานในอาคาร หรือ Building Energy Efficiency and Higher Environmental Quality โปรแกรมวิจัยภายใต้คลัสเตอร์ด้านพลังงาน JGSEE มจธ. สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ ศ.ดร.สุรพงศ์ จิระรัตนานนท์ โทรศัพท์ 089-798-4204 หรือ surapong.chi@kmutt.ac.th
บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด โรงงานโคราช นำโดย นางอรพินท์ จันทร์พริ้ม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิต (แถว 2 ที่ 5 จากซ้าย) ให้การต้อนรับคณะผู้มาเยี่ยมชม จำนวน 11 คน จากบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด นำโดย นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ที่ปรึกษาประธานบริษัทฯ (แถว 3 ที่ 5 จากซ้าย) ในโอกาสที่มาศึกษาดูงานระบบ การผลิต แบบลีน (Lean Manufacturing) ซึ่งมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง ลดการสูญเสียเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ณ โรงงานซีเกท โคราช
อัลไลด์ เทเลซิส ผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีอัจฉริยะสำหรับโลกสารสนเทศที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก เผยกลยุทธ์อีโคซิสเต็มส์ พาร์ทเนอร์ ในการรุกตลาดระบบกล้องวงจรปิดแบบไอพี หรือไอพี เซอร์ไวแลนซ์ พร้อมกับ แต่งตั้ง บริษัท ดิจิตอลคอม เป็นตัวจำหน่ายรายใหม่ ขยายตลาดปูทางสู่ระบบเมืองอัจฉริยะในอนาคต
นายธีรยุทธ หงษ์คณานุเคราะห์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อัลไลด์ เทเลซิส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำการพัฒนาและผลิตอุปกรณ์เครือข่ายจากประเทศญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกเทคโนโลยีระบบการเชื่อมต่อและระบบเครือข่ายอีเทอร์เน็ต/ไอพี เปิดเผยว่า “กลยุทธ์อีโอ ซิสเต็มส์ พาร์ทเนอร์ เป็นการจับมือกับคู่ค้าชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบกล้องวงปิดแบบไอพี หรือไอพี เซอร์ไวแลนซ์ (IP Surveillance) ในการนำเสนอโซลูชั่นให้กับตัวแทนจำหน่ายและลูกค้า ซึ่งคู่ค้าในกลยุทธ์ดังกล่าวประกอบด้วย ระบบการจัดเก็บข้อมูลหรือสตอเรจ จากอีเอ็มซี กล้องวงจรปิด จาก แอ็กซิส คอมมิวนิเคชั่น และ ระบบซอฟต์แวร์วีเอ็มเอส จากไมล์สโตน ซิสเต็มส์ โดยมีระบบเครือข่ายประสิทธิภาพสูงจากอัลไลด์ เทเลซิส เพื่อให้นำเสนอระบบไอพี เซอร์ไวแลนซ์ ที่ครบวงจรให้กับลูกค้า”
กลยุทธ์อีโค ซิสเต็มส์ พาร์ทเนอร์ ดังกล่าวเป็นทิศทางของอัลไลด์ เทเลซิส ในเอเชีย แปซิฟิก เพื่อนำเสนอระบบกล้องวงจรปิดแบบไอพีอย่างครบวงจรที่มีประสิทธิภาพสูงให้กับตัวแทนจำหน่ายและลูกค้า โดยคาดว่าตลาดดังกล่าวในภูมิภาค เอเชีย แปซิฟิกจะมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นมากกว่าปีละ 20% และจะมีมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาทในปี 2563 ส่วนตลาดระบบกล้องวงจรปิดแบบไอพีในประเทศไทย เป็นตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ทั้งในกลุ่มราชการและเอกชน โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชนจะเป็นตลาดที่เติบโตต่อเนื่องอีก 5-10 ปี
นอกจากกลยุทธ์ อีโค ซิสเต็มส์ พาร์ทเนอร์แล้ว อัลไลด์ เทเลซิส ยังได้แต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายรายใหม่เพื่อดูแลตลาดระบบกล้องวงจรปิดไอพีและระบบเมืองอัจฉริยะ คือ บริษัท ดิจิตอลคอม จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำตลาดระบบกล้องวงจรปิดแบบไอพีในประเทศไทย และมีความเชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์ไอทีและระบบรักษาความปลอดภัย
“เมื่อต้นปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรระดับแถวหน้า ของสภาเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities Council: SCC) ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำทางความคิดที่พร้อมให้คำแนะนำเมืองต่างๆ เกี่ยวกับวิธีการรับมือกับการขยายตัวของประชากร การอัพเกรดโครงสร้างพื้นฐานรุ่นเก่าด้วยนวัตกรรมโซลูชั่นและเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ ซึ่งอัลไลด์ เทเลซิส มีความยินดีอย่างมากที่ได้แต่งตั้งบริษัท ดิจิตอลคอม จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย และคาดว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะสามารถสานต่อสู่ระบบเมืองอัจฉริยะได้ในอนาคต” นายธีรยุทธ กล่าว
ด้าน นายสุวิช จิตเกษมสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิจิตอลคอม จำกัด กล่าวว่า ”การได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบเครือข่ายของอัลไลด์ เทเลซิส ซึ่งเป็นผู้พัฒนาและผลิตอุปกรณ์เครือข่ายชั้นนำระดับโลก นับว่าเป็นก้าวที่สำคัญของบริษัทฯ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของอัลไลด์ เทเลซิส สามารถให้บริการโซลูชั่นระบบเครือข่ายทั้งข้อมูล เสียง และภาพ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในตลาดได้อย่างดี นอกจากนั้นยังมี เทคโนโลยีเอเอ็มเอฟ (AMF- Allied Telesis Management Framework) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของอัลไลด์ เทเลซิส ที่ช่วยในการบริหารจัดการระบบเครือข่ายให้ง่ายขึ้นเพราะสามารถติดตั้งและทดแทนอุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ลดค่าใช้จ่ายและความซ้ำซ้อนของระบบ”
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจด้านการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านไอทีมาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี มีจุดแข็งด้านการเพิ่มมูลค่าให้คู่ค้า อาทิ การฝึกอบรม การสนับสนุนงานขายและการตลาด การบริการดูแลหลังการขาย และการออกแบบ ปัจจุบันบริษัทฯ มีบุคลากรจำนวนกว่า 60 คน โดยมีพนักงานมากกว่าครึ่งเป็นวิศวกรและช่างเทคนิค
นายธีรยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบัน อัลไลด์ เทเลซิส มีส่วนแบ่งการตลาดในส่วนของสวิตซ์เป็นอันดับ 3 ในประเทศไทย และตั้งเป้ายอดขายเติบโตในปี 2558 ประมาณ 30% โดยคาดว่าภาพรวมตลาดระบบเครือข่ายในไทยน่าจะมีอัตราเติบโตประมาณ 10% และมีมูลค่าประมาณ 250 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 7,500 ล้านบาท”
ปัจจุบัน อัลไลด์ เทเลซิส ได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ ผ่านตัวแทนจำหน่ายหลัก 3 รายในประเทศไทย ได้แก่ บริษัท เอแวนท์กาด จำกัด, บริษัท ไนน์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด และ บริษัท ดิจิตอลคอม จำกัด พร้อมทั้งมีคู่ค้าที่เป็นช่องทางจำหน่ายทั่วประเทศไทย
Cyberoam ผู้จำหน่ายแอพพลายแอนซ์ด้านความปลอดภัยบนเครือข่ายชั้นนำของโลกได้ประกาศที่จะให้เงินรางวัลจูงใจหรือ Incentive ในชื่อว่า Cyberoam Sales Bonanza แก่พาร์ทเนอร์ช่องทางจัดจำหน่ายในประเทศไทย
เงินจูงใจนี้มีขึ้นเพื่อตอบแทนแก่พนักงานตัวแทนจำหน่ายที่อยู่ในตำแหน่ง Account Manager ที่ดูแลแบรนด์ Cyberoam ในบริษัทพาร์ทเนอร์โดยเฉพาะ ซึ่งเงินรางวัลจูงใจนี้จะกำหนดตามจำนวนรุ่นผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย ยิ่งจำหน่ายรุ่นผลิตภัณฑ์ได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งได้รับเงินตอบแทนสูงเช่นกัน นอกจากนี้ยังรวมเอาระยะเวลาและประเภทของ Subscription ที่จำหน่ายได้มาพิจารณาด้วย เงินจูงใจนี้คิดเฉพาะแอพพลายแอนซ์ของ Cyberoam ที่จำหน่ายได้ในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 ถึง 30 กันยายน 2558 ซึ่งพนักงานจำหน่ายในสังกัดของพาร์ทเนอร์ทุกแห่งที่ลงทะเบียนไว้บน Cyberoam Partner Portal มีสิทธิ์ได้รับเงินรางวัลตอบแทนนี้ทั้งสิ้น
สำหรับวัตถุประสงค์ในการให้เงินจูงใจนี้ อามาร์ เมห์ทา หัวหน้าฝ่ายธุรกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของ Cyberoam กล่าวว่า “Cyberoam เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนผ่านช่องทางจำหน่ายที่เป็นพาร์ทเนอร์ทั้ง 100% ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขยายตลาดและการสนับสนุนของบริษัท การที่พาร์ทเนอร์คอยดูแลลูกค้าปลายทางอย่างใกล้ชิดทำให้เราเอาใจใส่เคียงข้างกับปัญหาและความต้องการของลูกค้า และเปิดโอกาสให้เรานำมาพัฒนานวัตกรรมใหม่รวมถึงปรับปรุงโซลูชั่นได้ เงินจูงใจนี้ถือเป็นการแสดงความตระหนักถึงการอุทิศแรงกายแรงใจของพาร์ทเนอร์ และยังกระตุ้นพวกเขาให้หาองค์กรที่ต้องการรักษาความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้นด้วยระบบความปลอดภัยยุคใหม่จาก Cyberoam”
“ปกติรางวัลในรูปของเงินจูงใจนี้มักจะตอบแทนแก่ตัวบริษัทพาร์ทเนอร์เป็นหลัก แต่ครั้งนี้เราได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยเงินรางวัลที่ให้แก่พนักงานตัวแทนจำหน่ายที่เป็นคนขายโซลูชั่นของเราจริง ๆ” พาร์ทเนอร์ของ Cyberoam สามารถติดต่อผู้จัดจำหน่ายในท้องถิ่นหรือทีมงานของ Cyberoam ประเทศไทยได้เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงินรางวัลจูงใจนี้
ม.ล.ปุณฑริก สมิติ (แถวที่สอง คนกลาง) อธิบดี กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และ นายบัณฑิต ศรีวัลลภานนท์ (แถวที่สอง คนที่สองจากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ร่วมกันมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้แทนจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศของไทยที่ผ่านการฝึกอบรมใน “โครงการสนับสนุนด้านเทคนิคให้กับผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศไทยในการใช้สารทำความเย็น R32” จำนวนทั้งสิ้น 9 บริษัท โดยมีผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยาน พิธีมอบประกาศนียบัตรจัดขึ้น ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค 1 สมุทรปราการ
โครงการฝึกอบรมดังกล่าวดำเนินการโดยกลุ่มบริษัทไดกิ้น ในฐานะผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้สารทำความเย็นอาร์ 32 เป็นรายแรกในประเทศไทยซึ่งสนับสนุนด้านบุคลากร ด้านเทคนิคและอุปกรณ์ในการฝึกอบรมผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศในประเทศไทยให้สามารถดำเนินการเปลี่ยนผ่านจากสารทำความเย็น อาร์ 22 ที่ทำลายชั้นโอโซนสู่การใช้สารทำความเย็นอาร์ 32 ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าตามที่กองทุนพหุภาคี (MLF) ได้อนุมัติ และกำหนดให้ประเทศไทยใช้สารทำความเย็นใหม่ซึ่งไม่ทำลายโอโซนและระงับการผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็นอาร์ 22 ภายในปี 2560
บุคคลในภาพ (แถวที่ 2 จากซ้ายไปขวา)
บริษัท ซีดับเบิลยูแคด ดีไซน์ จำกัด (ZWCAD Design Co.,Ltd.) หนึ่งในผู้นำด้านซอฟต์แวร์โซลูชั่น CAD สำหรับอุตสาหกรรมการออกแบบ วิศวกรรม ก่อสร้าง และเครื่องจักรกล เปิดเผยว่า “ปัจจุบันอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์มีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ไม่เพียงแต่มีตัวเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนมากขึ้น แต่ยังมีวิธีชำระเงินให้เลือกหลากหลายมากขึ้น เช่น ผู้ให้บริการบางรายแต่เดิมจำหน่ายไลเซนส์ (License) แบบถาวรที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นให้บริการแบบเช่าแทน ซึ่งนโยบายการให้เช่าไลเซนส์นั้นมีให้เลือกมากมาย เช่น แบบรายเดือน แบบรายไตรมาส และรายปี ซึ่งถ้าหากใช้งานเป็นเวลา 5 ปี หรือนานกว่านั้น คงจะเป็นเรื่องยากหากจะเปรียบเทียบว่าผลิตภัณฑ์ตัวไหนมีต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าโดยไม่นำระยะเวลามาพิจารณา ดังนั้นการเลือกใช้บริการแบบไลเซนส์ถาวรที่มีต้นทุนสูงในครั้งแรก แต่จะช่วยลดต้นทุนในระยะยาวลงได้ จะคุ้มค่ากว่าหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ใช้บริการ”
ทั้งนี้ ผู้ให้บริการโซลูชั่นด้านการออกแบบ CAD บางรายจะยกเลิกการจำหน่ายไลเซนส์ถาวร หลังจากวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2559 เป็นต้นไป สำหรับผู้ที่มีไลเซนส์ถาวรอยู่แล้วจะต้องซื้อบริการอัพเกรดและการซัพพอร์ตแยกต่างหากในแบบ Perpetual License + Maintenance Subscription ส่วนการเช่าไลเซนส์จะเป็นแบบ Desktop Subscription เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นสามารถดูตารางภาพประกอบได้
ล่าสุด บริษัท ซีดับเบิลยูแคด ดีไซน์ ได้จัดทำรายงานสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้งาน CAD จำนวนกว่า 1,500 คน เกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการของผู้ใช้งาน CAD ปรากฏว่า มีจำนวนผู้ใช้งานประมาณ 83% เลือกใช้บริการไลเซนส์ถาวรแทนการเช่า และส่วนใหญ่ให้เหตุผลในเรื่องความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนที่สูงขึ้นในระยะยาว และการจ่ายเพิ่มเติมสำหรับฟังก์ชั่นที่ไม่จำเป็น และมีผู้ใช้งานประมาณ 17% ที่คิดว่าการเช่าใช้บริการจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการอัพเดทเป็นเวอร์ชั่นใหม่สุด จากผลสำรวจรวมทั้งหมดสรุปได้ว่าผู้ใช้งาน CAD นิยมที่จะซื้อไลเซนส์ถาวรมากกว่าเพราะช่วยลดงบประมาณในระยะยาวได้ดีกว่า
ดังนั้น ผู้ใช้บริการซอฟต์แวร์ด้านงานออกแบบจะต้องศึกษาข้อมูลการสมัครเป็นสมาชิกของผู้ให้บริการ CAD ต่าง ๆ เนื่องจากอาจมีค่าใช้จ่ายที่เกินงบประมาณที่มีอยู่ได้ นอกจากนี้ผู้ใช้บริการซอฟต์แวร์ยังสามารถเลือกใช้ซอฟต์แวร์ด้านงานออกแบบที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย เช่น ซีดับเบิลยูแคด พลัส (ZWCAD+) ที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการด้านงานออกแบบของผู้ใช้งาน โดยสามารถคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.zwsoft.com/zwcad/Business_Value_Tool/
บริษัท ซีดับเบิลยูแคด ดีไซน์ จำกัด เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านงานออกแบบ CAD ระดับโลกผ่านเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจกว่า 300 บริษัท ใน 80 ประเทศ ซอฟต์แวร์ ZWCAD+ สามารถตอบสนองความต้องการของนักออกแบบ CAD ในอุตสาหกรรมด้านการออกแบบ วิศวกรรม ก่อสร้าง และเครื่องจักรกล โดยผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เซียนจิ้น เทรดดิ้ง จำกัด ผู้แทนจำหน่ายซอฟต์แวร์ ZWCAD+ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย โทรศัพท์ 0-2417-0508 หรือ www.zwcadthailand.com
งานแสดงสินค้านานาชาติเพื่อทางการแพทย์ เมดิคอล แฟร์ ไทยแลนด์ 2015 ได้กลับมาแสดงศักยภาพความเป็นผู้นำอีกครั้ง ประกาศเตรียมพร้อมเปิดเวทีสำหรับการจัดแสดงสินค้าด้านอุตสาหกรรมการแพทย์และการดูแลสุขภาพอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปีนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากกว่า 600 บริษัทใน 30 ประเทศทั่วโลก รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐ และกลุ่มองค์กรใหญ่ระดับประเทศจาก 15 ประเทศ ประกอบด้วย ออสเตรีย เบลเยี่ยม จีน ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย ตุรกี อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา โดยงาน เมดิคอล แฟร์ ไทยแลนด์ ได้ถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุก ๆ สองปี ซึ่งครั้งนี้ แม้ว่าทางผู้จัดจะทำการขยายพื้นที่การจัดแสดงเพิ่มอีกถึง 50% และมีจำนวนบูธแสดงสินค้ามากขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว แต่ด้วยตัวงานที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทำให้บูธถูกจองจนเต็มจำนวนก่อนที่งานจะเริ่มขึ้นจริงในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ซึ่งงานเมดิคอล แฟร์ ไทยแลนด์ 2015 จะเริ่มการจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 10 ถึง 12 กันยายน 2558 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร
คุณเกอร์นอท ริงลิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย จำกัด กล่าวว่า งาน เมดิคอล แฟร์ ไทยแลนด์ ในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 7 โดยเป็นเวทีการจัดแสดงสินค้าที่มีความครอบคลุมในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าสำหรับโรงพยาบาล การวินิจฉัยโรค เภสัชกรรม การแพทย์ และเวชศาสตร์ฟื้นฟู รวมไปถึงหลากหลายนวัตกรรมสำหรับเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะประกาศให้ทราบว่า งาน เมดิคอล แฟร์ ไทยแลนด์ จะกลับมาแสดงความเป็นอันดับหนึ่งในงานจัดแสดงสินค้าอุตสาหกรรมการแพทย์และดูแลสุขภาพที่ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายไม่ควรพลาดที่จะมาจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมล่าสุด เพื่อแสดงความเป็นผู้นำในตลาดธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงในเวลานี้
งานสัปดาห์อาคารเขียวแห่งสิงคโปร์ (SGBW) 2015 กลับมาอีกครั้ง โดยในปีนี้จะเป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญในวงการ นักธุรกิจ ตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ เพิ่มมากขึ้นเพื่อร่วมกันสร้างเครือข่ายและแบ่งปันแนวคิดเพื่อการสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับอยู่อาศัยให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ปีนี้ผู้จัดงานได้รับเกียรติอย่างสูงสุดจาก ดร.วิเวียน บาลากฤษณัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม และรัฐมนตรีกำกับดูแลโครงการสมาร์ทเนชั่น (Smart Nation Initiatives) ประเทศสิงคโปร์ มาเป็นประธานในพิธีเปิดงานและกล่าวคำปราศรัยอย่างเป็นทางการ
งานสัปดาห์อาคารเขียวแห่งสิงคโปร์ (SGBW) ครั้งที่ 7 นี้คาดว่าจะมีผู้เข้าเยี่ยมชมงานกว่า 30,000 คนจาก 30 กว่าประเทศทั่วโลก โดยงานจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม–6 กันยายน 2015 ที่ประเทศสิงคโปร์ สำหรับการแถลงข่าวซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ จะมีผู้เข้าร่วมแถลงข่าว ดังนี้ มร.เจฟเฟอรี เน็ง ผู้อำนวยการศูนย์การดำเนินงานกองอาคารและการก่อสร้างและศูนย์การวิจัยอาคารแบบยั่งยืน กองงานอาคารและการก่อสร้างแห่งสิงคโปร์, มิสลูอิส ฉั่ว ผู้อำนวยการโครงการ BEX Asia & MCE Asia 2015, มร.เซอชิน เค ชีเรอกุเต้ รองประธานบริหารฝ่ายโซลูชั่นธุรกิจ บริษัท โอลิมปิคกระเบื้องไทย จำกัด และ คุณกมล ตันพิพัฒน์ หนึ่งในคณะกรรมการจากสถาบันอาคารเขียวไทย
ผู้เชี่ยวชาญด้านอาคารเขียวระดับนานาชาติ นักวางแผนโยบาย นักวิชาการ ผู้ปฏิบัติงานด้านสิ่งแวดล้อม ผู้เช่าอาคาร และผู้เกี่ยวข้องทั่วไป รวมถึงสมาชิกองค์กรสาธารณะและนักศึกษาจากสถาบันต่าง ๆ คือบางส่วนของผู้ชมที่คาดว่าจะเข้าร่วมงาน โดยทุกคนต่างก็มุ่งเน้นไปที่ความคิดริเริ่มใหม่ ๆ ที่จะทำงานร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และแนวคิดล้ำสมัยเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ร่วมกันคือ การสร้างโลกสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น งานสัปดาห์อาคารเขียวแห่งสิงคโปร์ (SGBW) 2015 จะมอบบทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับเทคโนโลยีอาคารเขียวให้แก่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง และในปีนี้จะมีการนำเสนออีเว้นท์ที่จัดขึ้นพร้อมกันตามสถานที่อื่น ๆ อีก 24 แห่ง อาทิ การประชุมเชิงปฏิบัติการทางเทคนิคที่จัดขึ้นล่วงหน้า และสำนักงานอาคารเขียวแบบจำลอง (BCA Green Mark Office Pop-Up Store) โดยจะเป็นการนำแนวคิดมาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันที่ดียิ่งขึ้นของกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องในสายงานทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึงผู้ใช้อาคารและแม้แต่นักเรียน นักศึกษา เป็นต้น
กองงานอาคารและการก่อสร้างแห่งสิงคโปร์ (BCA) และ รีดเอ็กซิบิชั่นส์ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพในการจัดอีเว้นท์หลักของสัปดาห์อาคารเขียวแห่งชาติ ได้แก่ การประชุมนานาชาติอาคารเขียว (IGBC) โดยจะมีควบคู่ไปกับงานแสดงนิทรรศการสินค้าการก่อสร้างแนวอีโคแห่งเอเชีย Build Eco Xpo (BEX Asia2015) ซึ่งเป็นเวทีที่ให้ความรู้และสร้างเครือข่ายสำหรับส่งเสริมสภาพแวดล้อมการก่อสร้างแบบยั่งยืนแห่งเอเชีย และงาน MostraConvegnoExpocomfort (MCE) Asia 2015 ซึ่งนับเป็นงานแสดงนิทรรศการทางการค้าเกี่ยวกับระบบหล่อเย็น ระบบน้ำ พลังงานทดแทน และระบบทำความร้อนสำหรับธุรกิจอาคารเขียว (HVAC) ครั้งแรกในเอเชีย
“มองย้อนกลับไปในปี 2014 ซึ่งทุกคนทั่วโลกคงได้ตระหนักถึงสภาพภูมิอากาศที่ร้อนที่สุดในรอบ 135 ปี” กล่าวโดย ลูอิส ฉั่ว ผู้อำนวยการโครงการ BEX Asia & MCE Asia 2015 “การรวมตัวกันของงานนิทรรศการแสดงสินค้า BEX Asia และ MCE Asia เป็นการนำเสนอแนวคิดที่แตกต่างและเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อโลกสีเขียวและพลังงานทดแทน ซึ่งเราหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้เข้าชมงานและผู้ร่วมแสดงนิทรรศการจากประเทศไทย และการเพิ่มอีกหนึ่งนิทรรศการใหม่ในปีนี้ จะเป็นการเปิดประตูสู่หนทางใหม่ ๆ ที่ล้ำสมัย เพื่อตอบโจทย์ทางด้านภาวะโลกร้อนที่ประเทศไทยและภูมิภาคใกล้เคียงกำลังเผชิญอยู่”
“เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างของเราในงาน BEX Asia โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ทางด้านไฟเบอร์-ซีเมนต์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีภายในที่อยู่อาศัย ซึ่ง BEX เป็นงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสีเขียวที่เปรียบเสมือนสุดยอดเวทีสำหรับเราในการแลกเปลี่ยนแนวคิด นวัตกรรมโซลูชั่นสีเขียวใหม่ ๆ เพื่อช่วยแก้ปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมและส่วนประกอบที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพซึ่งเรากำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้ ในภาพรวมภูมิภาคเอเชียมีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงมีความต้องการในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน” กล่าวโดย คุณองอร เตชะมหพันธ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โอลิมปิคกระเบื้องไทย จำกัด หนึ่งในผู้เข้าร่วมแสดงสินค้าจากประเทศไทยในงาน BEX Asia 2015
“นับเป็นการออกงานครั้งแรกสำหรับ MCE Asia 2015 ของบิทเซอร์ รีฟริกเจอเรชั่น เอเชีย “เมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้กลายเป็นเมืองที่มีความทันสมัยและมีประชากรหนาแน่นมากขึ้น ดังนั้นจึงมีความต้องการอาคารอัจฉริยะเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการอยู่อาศัยที่มีความยั่งยืน และนั่นรวมถึงระบบทำความเย็นแบบอีโคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น” กล่าวโดย มร.ร็อบ เดอ บรูอิน, บิทเซอร์ รีฟริกเจอเรชั่น เอเชีย “อาคารเขียวนั้นประกอบด้วยระบบและเทคโนโลยีย่อยมากมาย MCE Asia คือเวทีในการแบ่งปันความรู้สำหรับระบบทำความเย็น ระบบน้ำ พลังงานทดแทน และระบบทำความร้อน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาเชิงบวกสำหรับวงการเทคโนโลยีการก่อสร้างอาคาร”