เนื้อหาวันที่ : 2009-11-30 08:46:53 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1191 views

มาร์ค โปรยยาหอมศก.ไทยไตรมาสสุดท้ายเป็นบวกแน่นอน

อภิสิทธิ์ ยันพร้อมรับรายงานผลการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ย้ำไม่ใช้นโยบายค่าเงินบาทอ่อน หวั่นเกิดวิกฤตซ้ำรอยปี 40 มั่นใจเศรษฐกิจไทยยังขับเคลื่อนไปได้

อภิสิทธิ์ ยันพร้อมรับรายงานผลการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ย้ำไม่ใช้นโยบายค่าเงินบาทอ่อน หวั่นเกิดวิกฤตซ้ำรอยปี 40 มั่นใจเศรษฐกิจไทยยังขับเคลื่อนไปได้

.

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

.

วันที่ 29 พ.ย. เวลา 09.50 น. ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย  นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ที่ประชุมสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศแสดงความเป็นห่วงว่าถ้าขาดความปรองดองในประเทศจะเป็นตัวฉุดให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ว่า จากการบริหารที่ทำมาจากนโยบายต่างๆ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก็ปรากฏว่าชัดเจนขึ้น 

.

แต่เมื่อมีความหวั่นเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายก็ย่อมเกิดผลกระทบต่อความรู้สึกของนักลงทุนและคนที่มองมาจากข้างนอก โดยเฉพาะคนที่ไม่คุ้นเคยกับหลายอย่างในประเทศไทย  ซึ่งตนก็พยายามไปอธิบาย แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือเราต้องช่วยกันขจัดเงื่อนไขต่างๆ                

.

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะยืนยันได้หรือไม่ว่าประเทศไทยจะไม่กลายเป็นประเทศที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนยืนยันว่าตอนนี้ไทยขับเคลื่อนไปได้มาก และเราได้ทำหน้าที่เป็นประธานและตัวแทนของอาเซียนในเวทีสำคัญๆ ในช่วงที่ผ่านมา  รวมทั้งอาเซียนก็มีความเข้มแข็งขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะไทยมีส่วนสำคัญในการผลักดันตรงนี้  และหลายประเทศได้แสดงออกยอมรับตรงนี้

.

ต่อข้อถามว่า ที่ประชุมหอการค้าทั่วประเทศยังระบุว่าการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยทำให้แผนพัฒนาเศรษฐกิจของไทยไม่ก้าวหน้าหรือไม่เดินไปสู่จุดที่ควรจะเดินไป นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นไปตามเงื่อนไขของระบอบประชาธิปไตย ก็ไม่เป็นปัญหา ไป  

.

เราต้องยอมรับถ้าตัวแทนของประชาชนอยากจะเปลี่ยนนโยบาย ก็ย่อมทำได้ แต่ไม่ควรจะเปลี่ยนนโยบายบ่อย ยกเว้นเป็นนโยบายที่เสียหาย โดยรัฐบาลชุดนี้ได้ทำให้เห็นแล้วว่านโยบายหรือโครงการใดที่มีวัตถุประสงค์ที่ดีและพอเดินไปได้ เราก็สานต่อ แต่เราได้เติมเรื่องใหม่ ๆเข้า

.

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เราก็เชื่อว่าได้วางรากฐานไว้ในหลายเรื่องซึ่งคงจะเปลี่ยนแปลงยาก เช่น  นโยบายด้านการศึกษา นโยบายไทยเข้มแข็ง นโยบายเรื่องของสวัสดิการ เป็นต้น ซึ่งตนไม่คิดว่าพรรคการเมืองอื่นๆ  จะเข้ามาเปลี่ยน แต่ถ้าจะเปลี่ยนก็ขอให้ประกาศให้ชัดเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจได้        

.

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมั่นใจใช่หรือไม่ว่าแม้จะมีปัจจัยลบทางการเมือง แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสต่อไปตามที่คาดไว้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนยังมั่นใจว่าเป็นบวก  โดยปีนี้ติดลบอยู่ประมาณร้อยละ  3.5 -3  และปีหน้าจะเติบไปอยู่ที่ร้อยละ 3.5   ซึ่งตนมั่นใจว่าทำได้ อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูเศรษฐกิจของโลกยังเปราะบางอยู่ในบางจุด            

.

แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นในนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกรณีการลดค่าเงินของประเทศเวียดนาม ตนคิดว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบมาก และในภาพรวมในแง่ของการฟื้นตัวของหลายประเทศในภูมิภาคโดยเฉพาะในเอเชียก็มีความชัดเจน      

.

ผู้สื่อข่าวถามถึงความเป็นห่วงว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่แตกในประเทศจีน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีความเสี่ยงอยู่ในบางพื้นที่หรือบางภูมิภาค แต่ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าประเทศจีนมีวิธีบริหารจัดการที่ดีพอสมควรเมื่อเกิดปัญหาขึ้น โดยมีช่วงเวลาสั้นที่เกิดปัญหากับตลาดทุน เขาก็บริหารจัดการได้ดี  

.

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ประชุมหอการค้าทั่วประเทศจะส่งรายงานสรุปผลการสัมมนาให้กับรัฐบาล นายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า  กำลังมีการนัดหมายกัน ทั้งนี้ รัฐบาลนำมาใช้ประโยชน์อยู่แล้ว และเราเป็นรัฐบาลที่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมประชุมทุกเดือนอยู่แล้วในรูปของคณะกรรมการลงทุนร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ดังนั้นเราจึงรับรู้และรับทราบถึงปัญหาต่างๆอยู่ตลอด               

.

ผู้สื่อข่าวถามว่า ภาคเอกชนเสนอให้ใช้นโยบายค่าเงินบาทอ่อน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นโยบายเราให้อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราไม่แกว่งตัวมาก แต่เราไม่สามารถกำหนดค่าเงินของเราได้ มิฉะนั้นเราจะย้อนไปสู่ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 หรืออาจเป็นในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งแต่ไม่เป็นผลดี เพราะฉะนั้น เราจึงพยายามไม่ให้แกว่งตัวมาก

.

ขณะเดียวกัน เราได้ใช้เวทีในต่างประเทศเรียกร้องให้ประเทศที่เป็นสาเหตุของปัญหาค่าเงิน ไปแก้ปัญหาความสมดุลตรงนั้นให้ได้  ทั้งนี้  เราจะต้องเปรียบเทียบค่าเงินของเรากับของประเทศที่แข่งขันกับเรา ยกเว้นกรณีของเวียดนามที่เกิดการลดค่าเงินของเขา 

.

ซึ่งการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทของเราเมื่อเทียบกับค่าเงินอื่นๆในภูมิภาค จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน แต่เนื่องจากในการค้าจะอยู่ในรูปของเหรียญสหรัฐฯ จึงได้รับความเดือดร้อนกัน ขณะที่รัฐมนตรีคลังของประเทศสหรัฐอเมริกาก็ประกาศว่าจะพยายามทำให้ค่าเงินของเขาแข็งขึ้น  และจะมีประเด็นเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนของจีน  ซึ่งในตอนนี้เป็นที่รับรู้และยอมรับกันมากขึ้นในเวทีต่างประเทศ

.

นอกจากนี้ ผู้ส่งออกต้องพยายามที่จะมีวิธีการลดความเสี่ยงของตัวเองในเรื่องนี้ ทั้งนี้ยอมรับว่าถ้าจีนลดค่าเงินหยวนอ่อนลง ก็มีผลกระทบต่อไทย เช่น เรื่องของราคาน้ำมัน  ซึ่งตนจะให้นำประเด็นผลกระทบจากกรณีของเวียดนามและดูไบเข้าสู่ของที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณาว่าจำเป็นต้องทำอะไรบ้าง

.
ที่มา : เว็บไซต์รัฐบาลไทย