เนื้อหาวันที่ : 2009-10-15 10:00:35 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 3770 views

ศุลกากรไทยสร้างปรากฎการณ์ใหม่ พัฒนาระบบ e-Customs สู่ยุค "ศุลกากรไฮเทค"

จากหน่วยงานภาครัฐที่ดูแลเพียงการจัดเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าและส่งออกกรมศุลกากรยุคใหม่ปรับบทบาทมาสู่การพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พร้อมกระตุ้นการส่งออก ด้วยการพลิกโฉมหน้าใหม่ก้าวสู่ "ศุลกากรไฮเทค"

 .

ความล่าช้าและคิวแถวยาวเหยียดของผู้คนที่เรียงรายรอยื่นเอกสารผ่านพิธีการศุลกากร เพื่อขออนุมัติใบขนส่งสินค้าในแต่ละด่านศุลกากรได้เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออกเมื่อระบบคอมพิวเตอร์ได้เข้ามาสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ ที่เปลี่ยนความยุ่งยากและซ้ำซ้อนของพิธีการศุลกากรต่าง ๆ ให้เรียบง่าย ทำให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการในทุกขั้นตอน เพียงผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในทุกที่ และทุกเวลา

 .

จากหน่วยงานภาครัฐที่ดูแลเพียงการจัดเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าและส่งออกกรมศุลกากรยุคใหม่ได้ปรับบทบาทและหน้าที่มาสู่การพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศรวมถึงกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวของการส่งออกไทยให้มีศักยภาพสูงขึ้นหน่วยงานภาครัฐที่มีอายุกว่า 130 ปีแห่งนี้จึงได้มีการพลิกโฉมหน้าใหม่ เพื่อก้าวเข้าสู่ "ศุลกากรไฮเทค" ที่พิธีการศุลกากรในทุกขั้นตอนจะดำเนินการผ่านระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดในลัษณะที่เป็น e-Customs Paperless Trading

 .

"ด้วยความทันสมัยของพิธีการศุลกากรยุคใหม่เราเชื่อว่าจะสามารถยกระดับรูปแบบการค้าระหว่างประเทศของไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก และนี่คือเป้าหมายของกรมศุลกากรในยุคนี้" นั่นคือคำบอกเล่าจาก อุทิศ ธรรมวาทิน อธิบดีกรมศุลกากร ผู้ผลักดันการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของกรมฯให้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์

.

นายอุทิศ ธรรมวาทิน อธิบดีกรมศุลกากร

.

ในวันนี้ อาจเรียกได้ว่าขั้นตอนพิธีการศุลกากรทั้งหมดทั้งการนำเข้าและส่งออก ได้ปรับสุ่ระบบ e-Customs สมบูรณ์แบบ และด้วยระบบใหม่นี้ ผุ้ประกอบการสามารถลดระยะเวลาและขั้นตอนในการติดต่อขออนุมัติใบขนส่งสินค้าจากกรมศุลกากร รวมทั้งเสียภาษีตามพิกัดอัตราของสินค้านั้น ๆ จนถึงขั้นตอนการตรวจปล่อยสินค้าจากเดิมที่ใช้เวลาถึง 3 วัน ให้เหลือเพียงภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง

 .

"เนื่องจากระบบใหม่เป็นระบบไร้กระดาษ หรือ paperless ทำให้เราสามารถลดภาระการจัดการและการดำเนินงานด้านเอกสารไปได้อย่างมาก เนื่องจากภาคเอกชนสามารถส่งข้อมูลต่าง ๆ มาให้เจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบข้อมูลและตรวจปล่อยสินค้าผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยการดำเนินงานต่าง ๆ ภายในกรมฯ จะผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เช่นกัน ซึ่งวิธีนี้จะอำนวยความสะดวกให้กับกรมฯ และผู้ประกอบการทั้งยังประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายอีกด้วย" อธิบดีกรมศุลกากร กล่าว

 .
e-Customs เน้นบูรณาการการให้บริการยุคใหม่ภายใต้ระบบ e-Customs

กรมศุลกากรได้มีการออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด จากเดิมที่ใช้เทคโนโลยี EDI หรือ Electronic Data Interchange ซึ่งเป็นระบบการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ยังจำเป็นต้องพิมพ์ใบขนสินค้า เพื่อนำมาดำเนินการพิธีการศุลกากรในขั้นต่อไป  

 .

แต่ระบบใหม่นี้ จันทนา เยี่ยงศุภพานนทร์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานวางแผนและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมศุลกากร เล่าให้ฟังว่าได้รับการออกแบบและพัฒนาบนพื้นฐานของ Web-based Technology ซึ่งใช้มาตรฐาน ebXML ในการรับส่งข้อมูล ทำให้กรมศุลกากรสามารถปรับสุ่ระบบไร้กระดาษได้ในทุกขั้นตอน

 .

"เราได้มีการนำเทคโนโลยี EDI มาใช้ในการรับส่งข้อมูลกับผู้ประกอบการมาตั้งแต่ปี 2541 แต่ระบบ EDI เป็นเทคโนโลยีเก่าที่มีขีดความสามารถจำกัด ผู้ประกอบการจึงยังคงต้องพิมพ์เอกสารมายื่นต่อเจ้าหน้าที่ควบคู่กับการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ทำให้กรมฯ ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่จำนวนมากในการดำเนินการพิธีการศุลกากรสำหรับการนำเข้าและส่งออก ขณะที่ปริมาณใบขนสินค้าเพิ่มขึ้นปีละไม่ต่ำกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ เราจึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาและขยายสู่ระบบใหม่" จันทนากล่าว

 .

ทั้งนี้ระบบ e-Customs ได้พัฒนาเพื่อใช้ครอบคลุมทั้งระบบ e-Import และ e-Export โดยเปิดใช้อย่างเป็นทางการในต้นปี 2550 และได้มีการขยายระบบครอบคลุมทุกด่านและท่าของกรมศุลกากรทั่วประเทศเมื่อเดือนกรกฎาคม 2551 ที่ผ่านมา และปัจจุบันผู้ประกอบการสามารถรับริการจากกรุมศุลกากร ตั้งแต่การยื่นขอเลขที่ใบขนสินค้าการเสียภาษีออนไลน์ในลักษณะที่เป็น Electronic Fund Transfer กับเครือข่ายธนาคาร 10 แห่ง รวมถึงการตรวจปล่อยสินค้าได้ลักษณะที่เป็นบริการ ณ จุดเดียว หรือ "One Stop Service"

 .

ขณะเดียวกัน กรมศุลกากรยังได้มีการเชื่อมโยงระบบกับการท่าเรือแห่งประเทศไทยเพื่อรับส่งข้อมูลการตรวจปล่อยสินค้าให้การท่าเรือฯ ได้ทราบล่วงหน้า การเชื่อมโยงข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ของการท่าเรือฯ สามารถเตรียมสินค้าจากตู้คอนเทนเนอร์ที่ผ่านการอนุมัติใบขนสินค้าให้ผู้ประกอบการตรวจเช็คสินค้า และปล่อยสินค้าออกจากด่านได้สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น

 .

อุทิศ กล่าว ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ต้นทางจากผู้ประกอบการกรมศุลกากร จนถึงปลายทางที่การท่าเรือฯ ได้สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ประกอบการในการดำเนินการพิธีการศุลกากรและตรวจปล่อยสินค้าได้ในที่เดียว ทันใด ทั่วไทย และทุกเวลา ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นจุดสำคัญที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้

 .

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังสามารถลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะระบบจัดการเอกสาร ที่สามารถลดความผิดพลาดและความซ้ำซ้อนของการบันทึกข้อมูลโดยคาดว่า ระบบ e-Customs สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการลดค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดการระบบเอกสารได้ถึง 15 เปอร์เซ็นต์    

 .

รวมทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายในการเก็บสินค้าไว้ในโรงพักสินค้าหรือคลังสินค้า และที่สำคัญ ด้วยความรวดเร็วในการตรวจปล่อยสินค้า ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มความคล่อมตัวในระบบการผลิตและการดำเนินธุรกิจได้อีกด้วย

.

 .

ปัจจุบัน ระบบงานหลักของ e-Customs สามารถสร้างบริการและรองรับการให้บริการแบบ e-Service แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอนของพิธีการศุลกากร นับตั้งแต่ผู้นำเข้าและส่งออก ตัวแทนออกของ ผู้จัดการขนส่ง ตัวแทนรับจัดส่งสินค้า ผู้ให้บริการโลจีสติกส์ carriers ธนาคาร รวมถึงหน่วยงานออกใบรับรองต่าง ๆ 

 .

จันทนา กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเข้ามาใช้ระบบ e-Customs แล้วถึง 95 เปอร์เซ็นต์ โดยในแต่ละเดือนจะมีข้อมูลที่รับ-ส่งทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉลี่ยมากถึง 3,500,000 - 4,000,000 รายการ และทางกรมฯ คาดว่าในอนาคตกลุ่มผู้ประกอบการในส่วนที่เหลือจะเข้าสู่ระบบพิธีการศุลกากรแบบไร้กระดาษทั้งหมด

 .

และเพื่อเชื่อมโยงการปฏิบัติงานให้ครบวงจร กรมศุลกากร ยังได้นำระบบระบุตัวตนด้วยคลื่นวิทยุ หรือ Radio Frequency Identification (RFID) มาใช้ควบคุมการขนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ โดยโครงการ "e-Seal" นี้ จะเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลใบขนส่งสินค้าจากระบบ e-Customs เพื่อควบคุมขนย้ายตู้สินค้าจากสถานประกอบการ หรือสถานที่ตรวจปล่อยและบรรจุสินค้าเข้าคอนเทนเนอร์ รวมทั้งควบคุมการนำสินค้าเข้า-ออกจากกรมศุลกากรไปยังคลังสินค้าอื่น ๆ อย่างเป็นระบบและมีความถูกต้อง รวดเร็ว

 .

จากการปรับโฉมรูปแบบพิธีการศุลกากรในครั้งนี้ โครงการ e-Customs ของกรมศุลกากร จึงได้รับคัดเลือกให้เป็นโครงการแห่งปีหรือ Project of the Year ในหมวด Chang Management Project จาก Thailand ICT Excellence Awards 2008 ซึ่งจัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย และวิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 .

นอกจากนี้ การพัฒนาโครงการ e-Customs ยังส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับความยาก-ง่ายของการดำเนินธุรกิจจากธนาคารโลก โดยจากผลการสำรวจ Doing Business 2009 ซึ่งเป็นการศึกษาและจัดลำดับความยาก-ง่ายในการดำเนินธุรกิจโดยภาพรวมระหว่างเดือนเมษายน 2550 ถึงเดือนมิถุนายน 2551 ใน 181 ประเทศทั่วโลก พบว่า ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 13 จากเดิมที่อยู่ใน อันดับที่ 19 ในช่วงปีที่ผ่านมา  

 .

ทั้งนี้ธนาคารโลกยังได้จัดอันดับความยาก-ง่าย ในเรื่องปัจจัยการค้าระหว่างประเทศของไทย จากอันดับที่ 51 มาเป็นอันดับที่ 10 ทั้งนี้ ธนาคารโลกให้เหตุผลว่าเนื่องจากประเทศไทยมีการพัฒนาและติดตั้งระบบ e-Customs เพื่ออำนวยความสะดวกในการผ่านพิธีการศุลกากรสำหรับการนำเข้าและส่งออกแบบไร้เอกสาร

 .
ดัน e-Customs สู่ฐานการพัฒนาระบบ National Single Window

นอกเหนือไปจากระบบพิธีการศุลกากรแบบไร้กระดาษ กรมศุลกากรยังได้มีการขยายต่อยอดระบบ e-Customs เพื่อเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ที่ควบคุมการนำเข้าและส่งออก และออกใบรับรองและใบอนุญาตต่าง ๆ ภายใต้โครงการ "e-Licensing" โดยปัจจุบันโครงการดังกล่าวได้มีการเชื่อมโยงกับหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งสิ้นแล้ว 6 หน่วยงานประกอบด้วย    

 .

กรมการค้าต่างประเทศ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กรมธุรกิจพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อรับส่งข้อมูลเลขที่ใบรับรองหรือใบอนุญาตสำหรับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้กรมศุลกากรพิจารณาดำเนินการในขั้นตอนการผ่านพิธีศุลกากร เพื่อตรวจปล่อยสินค้าต่อไป

 .

อุทิศ กล่าวว่า ระบบ e-Customs นับเป็นก้าวย่างก้าวแรกในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อพัฒนาไปสู่ระบบ National Single Window (NSW) ที่ทุกหน่วยงานจะเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันเพื่อให้บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ

 .

ทั้งนี้ประชาชนและผู้ประกอบการต่าง ๆ สามารถเรียกใช้บริการจากหลากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านทางเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์เพียงจุดเดียว โดยคำร้องขอใช้บริการต่าง ๆ จะถูกส่งไปยังหน่วยงานนั้น ๆ โดยอัตโนมัติ และจะทำการดำเนินการตอบรับผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์เช่นเดียวกัน ซึ่ง

.

 .

หากโครงการดังกล่าวมีการพัฒนาเป็นรูปธรรม จะเป็นการผลักดันให้เกิดบริการภาครัฐอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government Service) อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้การพัฒนาโครงการดังกล่าว กรมศุลกากรได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในการเป็นเจ้าภาพพัฒนาระบบ NSW ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย

 .

ระบบ NSW จะเป็นการเชื่อมยังข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ในลักษณธที่เป็ฯ Government-to-Government และให้บริการกับภาคเอกชนในลักษณะที่เป็น Government-to-Business ซึ่งกรมศุลกากรคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการพัฒนาระบบ NSW ในอีก 2 ปีข้างหน้า และเพื่อรองรับแผนการพัฒนาระบบ NSW  

 .

จันทนา กล่าวว่า กรมฯ มีแผนเดินหน้าพัฒนาระบบ e-Licensing ต่อไปให้ครอบคลุมหน่วยงานราชการอื่น ๆ มากขึ้น เนื่องจากระบบ e-Licensing ที่เชื่อมโยงหน่วยงานรัฐต่าง ๆ เข้าด้วยกันจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการขยายไปสู่ระบบ NSW ในอนาคต

 .

นอกเหนือจากหน่วยงานราชการ 6 หน่วยงานที่ได้เชื่อมโยงเข้าสู่ระบบ e-Licensing แล้ว ปัจจุบันกรมศุลกากรอยู่ในระหว่างการพัฒนาและทดสอบการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กับอีก 4 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานอาหารและยา กรมปศุสัตว์ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติและกรมขนส่งทางบก รวมทั้งหารือเพื่อพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลกับอีก 5 หน่วยงาน ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมอุตสาหกรรมและการเหมืองแร่ กรมป่าไม้ กรมสรรพสามิต และสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล

 .

 จันทนา กล่าวว่า โครงการพัฒนาระบบ NSW ในระยะแรก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนิน ในปี 2554 จะเป็ฯการเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐให้ได้อย่างน้อย 40 หน่วยงาน เพื่อให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ พร้อมกันนั้นยังมีแผนที่จะขยายระบบ NSW เพื่อเชื่อมโยงไปยังประเทศต่ง ๆ ภายใต้โครงการ Asean Single Window

 .

ซึ่งโครงการในระยะที่สองนี้จะมีการเชื่อมโยงผู้ให้บริการระบบการขนส่ง เช่น Carriers รวมทั้งผู้ให้บริการโลจีสติกส์ และตัวแทนเรือขนส่งต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้เกิดการขนส่งสินค้าแบบ Multi Module รวมทั้งเชื่อมโยงระบบพิธีการศุลกากรไปยังประเทศต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในระบบการค้าระหว่างประเทศ

 .
กรมศุลฯ เดินหน้าต่อยอดเสริมบริการ e-Services ในอนาคต

การพัฒนาระบบ e-Customs นับได้ว่าเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของการให้บริการภาครัฐในยุคของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ แต่เส้นทางแห่งการพัฒนาระบบไอทีของกรมศุลกากรเอง ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวย้ำว่า กรมศุลกากรมีแผนการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง  

 .

โดยจะมีการพัฒนาต่อยอดบริการเสริมจากระบบงานหลักดังกล่าว ซึ่งโครงการที่ได้รับงบประมาณเพื่อการพัฒนาในขั้นต่อไป จะมุ่งเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจสามารถติดต่อกับกรมศุลกากรในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 .

ทั้งนี้ กรมศุลกากรมีแผนที่จะพัฒนาโครงการไอทีใหม่ อาทิ โครงการผ่านพิธีการศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับสินค้าเร่งด่วนหรือ e-Express ซึ่งจะช่วยทำการตรวจคัดของเร่งด่วนเป็นประเภท "ยกเว้นอากร" หรือ "ชำระค่าภาษีอากร"

 .

โดยผู้ประกอบการสามารถชำระค่าภาษีอากรได้ที่ทำการของสนามบินสุวรรณภูมิหรือชำระผ่านระบบ e-Payment และโครงการพัฒนาระบบติดตามสถานะการผ่านพิธีการศุลกากรทางอินเทอร์-เน็ต หรือ e-Tracking ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออกสามารถติดตามสถานะและความเคลื่อนไหวของการดำเนินงานในขั้นตอนพิธีการศุลกากรต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

 .

ขณะเดียวกัน กรมศุลกากรกำลังอยู่ในระหว่างจัดทำแผนการพัฒนาโครงการระบบคืนภาษีอากรตามมาตรา 19 ทวิ ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ หรือ e-Drawback โดยระบบใหม่ดังกล่าวจะอำนวยความสะดวกให้ทั้งเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร และผู้ประกอบการดำเนินการคืนค่าภาระภาษีอากรสำหรับวัตถุดิบที่นำเข้าได้สะดวกรวดเร็วผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

 .

ตามข้อกำหนดของมาตรา 19 ทวิ ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการคืนค่าภาระภาษีอากรสำหรับวัตถุดิบที่นำเข้าได้แก่ อากรขาเข้าค่าธรรมเนียมภาษีอื่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีมหาดไทย ที่ผู้นำเข้าได้เสียหรือวางประกันไว้ขณะนำเข้าวัตถุดิบเพื่อไปผลิต ผสม ประกอบ หรือบรรจุเป็นสินค้าส่งออก โดยผู้ประกอบการจะได้รับการคืนอากรโดยจะคำนวณค่าภาษีอากรที่คืนให้ตามสูตรการผลิต

 .

โดยปกติ ขั้นตอนการขอคืนภาษีตามข้อกำหนดดังกล่าว จะใช้เวลาในการดำเนินการอย่างน้อย 15 วัน และมีขั้นตอนค่อนข้างซับซ้อนเนื่องจากเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากร จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลและทำการคำนวณการคืนภาษี กรมศุลกากรจึงมีแนวความคิดที่จะนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยบริหารงานในส่วนนี้ เพื่อให้การดำเนินงานตามมาตรา 19 ทวิ เป็นไปอย่างอัตโนมัติ ถูกต้อง และรวดเร็ว

 .

จันทนา กล่าวว่า ขณะนี้กรมศุลกากรอยู่ในระหว่างการจัดทำข้อกำหนดของโครงการเพื่อขออนุมัติงบประมาณ โดยคาดว่าการพัฒนาระบบจะเริ่มในปี 2553 และใช้เวลาในการพัฒนาเป็นเวลา 2 ปี

 .