เนื้อหาวันที่ : 2009-10-14 14:59:34 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1245 views

แนวโน้มเศรษฐกิจไทย: พลิกฟื้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ชี้ศก.จะฟื้นแบบค่อยเป็นค่อยไป นโยบายการคลังยังมีบทบาทหนุนเศรษฐกิจไทยโตในอนาคต คาดปีหน้าความต้องการกู้เงินทั้งรัฐและเอกชนพุ่งสูง ดันอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

.

สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ชี้ศก.จะฟื้นแบบค่อยเป็นค่อยไป นโยบายการคลังยังมีบทบาทหนุนเศรษฐกิจไทยโตในอนาคต คาดปีหน้าความต้องการกู้เงินทั้งรัฐและเอกชนพุ่งสูง ดันอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

.

นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ (ไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า รัฐบาลไทยวางแผนการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นวงจรเศรษฐกิจฟื้นตัวรอบใหม่ ในระหว่างที่ยังขาดปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นโยบายการคลังจะยังคงมีบทบาทสำคัญในการเกื้อหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคต

.

อย่างไรก็ดี นางสาวอุสราเชื่อว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าจะฟื้นเป็นรูปตัววี (V-shaped) ธนาคารคาดว่าการเติบโตของไทยในปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 2.8% และแข็งแกร่งขึ้นเป็น 4.5% ในปี 2554

.

"ธนาคารยังมองว่าแนวโน้มการเติบโตในระยะสั้นยังต้องระมัดระวัง โดยมีปัจจัยสำคัญสามประการ ได้แก่ ประการแรก เสถียรภาพทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง ประการที่สอง วัฏจักรของการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว และประการที่สาม ภาคการส่งออกซึ่งโอกาสที่จะกลับมาเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังเป็นไปได้ยาก"

.

จริงๆ แล้ว ความสามารถในการบริโภคของคนไทยยังอยู่ในภาวะแข็งแกร่งเนื่องจากความมั่งคั่งของกลุ่มผู้บริโภคคนไทยได้รับผลกระทบน้อยจากวิกฤตการเงินโลก แต่เหตุที่ทำให้คนไทยระมัดระวังในการใช้จ่ายในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากขาดความมั่นใจในเสถียรภาพทางการเมือง 

.

ในขณะที่กำลังการผลิตส่วนเกินภายในประเทศยังมีอยู่มาก จะทำให้การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนเป็นไปอย่างเชื่องช้า เป็นที่น่าสังเกตว่าการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมยังคงอยู่ในระดับต่ำมากในอุตสาหกรรมหลักๆ ได้แก่ ก่อสร้าง อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า นั่นหมายความว่า โอกาสที่จะมีการลงทุนใหม่ๆในภาคเอกชนเพื่อขยายกำลังการผลิตในอนาคตอันใกล้มีความเป็นไปได้น้อย

.

ส่วนความต้องการในภาคส่งออกที่ยังคงอ่อนแรงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีการใช้กำลังการผลิตในระดับต่ำ ขณะเดียวกันตลาดส่งออกรายใหญ่สองในสามอันดับต้นของไทย คือสหรัฐและญี่ปุ่น ยังคงอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยและคาดว่าจะฟื้นตัวในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปในปีหน้า

.

จากปัจจัยที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ทำให้คาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าจะฟื้นเป็นรูปตัววี (V-shaped) ส่วนในประเด็นเงินเฟ้อเชื่อว่าไม่น่าเป็นปัญหาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องกังวลเนื่องจากไม่มีแรงกดดันด้านอุปสงค์ในขณะนี้ ปัจจัยหลักที่จะสร้างแรงกดดันให้กับเงินเฟ้อน่าจะมาจากราคาน้ำมันมากกว่าแรงกดดันด้านอุปสงค์ เนื่องจากกำลังการผลิตภายในประเทศที่เพียงพอ 

.

ดังนั้น เงินเฟ้อพื้นฐานน่าจะยังอยู่ในกรอบของธปท.ในปีหน้า จึงทำให้คาดว่ายังไม่มีความจำเป็นที่ ธปท.จะต้องรีบพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งต่อไปยังไม่น่าจะเกิดขึ้นจนกระทั่งราวต้นปี 2554

.

ปัญหาท้าทายทางเศรษฐกิจในปีนี้น่าจะอยู่ที่สภาพคล่องในระบบการเงินที่มีแนวโน้มลดลง เป็นที่สังเกตว่ารัฐบาลกำลังใช้นโยบายขาดดุลงบประมาณที่ 3.5% ของจีดีพี ในปีงบประมาณ 2553 ถ้ารวมถึงยอดเงินกู้พิเศษภายใต้พระราชบัญญัติและพระราชกำหนดกู้เงินแล้ว ตัวเลขการขาดดุลเงินสดของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2553 จะสูงถึง 6.7% ของจีดีพี ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงเป็นประวัติการณ์

.

ความต้องการระดมเงินจากภาครัฐในปริมาณที่สูงมากเป็นประวัติการณ์เช่นนี้ จะมีผลดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินในระบบธนาคารพาณิชย์ให้ลดลงอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากและจะสร้างแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดให้ขยับสูงขึ้นในอนาคต สภาพคล่องส่วนเกินในระบบธนาคาร ซึ่งวัดจากการทำธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคีบวกกับเงินฝาก                      

.

และการฝากเงินระยะสั้นของธนาคารพาณิชย์ที่ธปท. มีปริมาณลดลงในช่วงที่ผ่านมา โดยในปัจจุบันเหลืออยู่ที่ 650,000 ล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก ซึ่งเริ่มขยับสูงขึ้นเล็กน้อย

.

ก่อนหน้านี้รัฐบาลประกาศว่าจะระดมเงินเป็นจำนวน 810,000 ล้านบาทในปีงบประมาณหน้า ซึ่งในจำนวนนี้ ประมาณ 380,000 ล้านบาทจะระดมจากตลาดพันธบัตร โดยออกพันธบัตรรัฐบาลและตราสารอัตราดดอกเบี้ยลอยตัว (FRN) ส่วนอีกจำนวน 430,000 ล้านบาทจะระดมผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ โดยออกพันธบัตรออมทรัพย์ ตั๋วสัญญาใช้เงิน และเงินกู้จากธนาคาร 

.

ส่วนความต้องเงินในภาคเอกชนในปีหน้าคาดว่าไม่ต่ำกว่า 945,000 ล้านบาท สินเชื่อคงค้างของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันโดยรวมอยู่ที่ 8.5 ล้านล้านบาท หากธนาคารตั้งเป้าที่จะเติบโตสินเชื่อ 5% ในปีหน้า หมายความว่า การปล่อยสินเชื่อใหม่จะอยู่ที่ 425,000 ล้านบาท ในขณะที่แต่ละปี การออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนของเอกชนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 250,000 ล้านบาท

.

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีโครงการปล่อยสินเชื่อ Fast Track จำนวน 300,000 ล้านบาทสำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยรัฐบาลจะเพิ่มทุนให้แก่ธนาคารของรัฐเป็นจำนวน 30,000 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่าธนาคารของรัฐทั้งหลายจะมีความต้องการสภาพคล่องเพิ่มเติมเป็นจำนวน 270,000 ล้านบาท เพื่อปล่อยสินเชื่อใหม่ภายใต้โครงการนี้

.

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า ความต้องการเงินจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่สูงขึ้นอย่างมากในปีหน้าจะมีผลทำให้ต้นทุนการกู้ยืมแพงขึ้น เนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินในระบบธนาคารพาณิชย์ที่มีแนวโน้มลดลง จะเพิ่มแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดให้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในปีหน้า