เนื้อหาวันที่ : 2009-10-09 10:24:06 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1199 views

มั่นใจไทยเข้มแข็งฟื้น ศก. คลังลั่นจีดีพีสิ้นปีโต 3.6%

คลัง หวังไทยเข้มแข็งกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ดันจีดีพีไตรมาสสุดท้ายเป็นบวก 3.5-3.6% ด้าน ม.หอการค้าไทย เผย ดัชนีความเชื่อมั่น ก.ย. ดีดตัวพุ่ง 4 เดือนซ้อน ขานรับนโยบายไทยเข้มแข็ง จับตาเดือน ต.ค. หวั่นเชื่อมั่นทรุด หลังมาบตาพุดโดนเบรก

คลัง หวังไทยเข้มแข็งกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ดันจีดีพีไตรมาสสุดท้ายเป็นบวก 3.5-3.6% ด้าน ม.หอการค้าไทย เผย ดัชนีความเชื่อมั่น ก.ย. ดีดตัวพุ่ง 4 เดือนซ้อน ขานรับนโยบายไทยเข้มแข็ง จับตาเดือน ต.ค. หวั่นเชื่อมั่นทรุด หลังมาบตาพุดโดนเบรก หวั่นทำจีดีพีสิ้นปีติดลบเพิ่มอีก 0.5% แนะหากแก้ไม่ตก อาจทำจีดีพีปีหน้าสูงสุดเป็นบวกแค่ 2%

.

นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง

.

นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถา เรื่อง "8 แสนล้าน กำลังจะหมุนไป ใครเข้มแข็ง" ว่า ในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว จนส่งผลทำให้การบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และภาคการส่งออก เกิดปัญหาอย่างหนัก

.

โดยรัฐบาลซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวที่ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ จึงได้มีการเร่งดำเนินนโยบายด้านการคลัง โดยการเร่งรัดใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ รวมไปถึงการออกมาตรการระยะที่ 1 ซึ่งเป็นการเพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชนให้มีเพิ่มมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โครงการเช็คช่วยชาติ ให้กับผู้มีรายได้น้อยกว่า 1.5 หมื่นบาท เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

.

ทั้งนี้ เห็นว่าสำหรับมาตรการระยะแรกที่ได้ออกไปแล้วนั้น ถือว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ สามารถประคับประคองเศรษฐกิจได้ค่อนข้างดี โดยสามารถทำให้การบริโภคภาคเอกชนหดตัวน้อยลงได้ เห็นได้จากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 2 ที่หดตัวน้อยลงอยู่ที่ 4.9% จากไตรมาสแรกที่หดตัวถึง 7.1% โดยคาดว่าจีดีพีไตรมาสที่ 3 จะหดตัวดีขึ้นกว่าทั้ง 2 ไตรมาส อีกทั้งคาดการณ์ว่าจีดีพีไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะพลิกกลับเป็นบวกอยู่ที่ประมาณ 3.5-3.6%

.

สำหรับมาตรการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ซึ่งถือเป็นระยะ 2 คาดว่าจะส่งผลดีต่อจีดีพีปี 53 เป็นบวกที่ประมาณ 2.5- 4.1% ปี 54 บวกประมาณ 4-5.2% และคาดว่าจีดีพีปี 55 จะบวกประมาณ 4.5-5.5% อีกทั้งคาดว่าจะส่งผลดีต่อการจ้างงานภายในประเทศให้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5 แสนคน ระยะเวลาการลงทุน 3 ปี จะสามารถเพิ่มการจ้างงานได้ประมาณ 1.5 ล้านคน

.

ทั้งนี้เห็นว่ามาตรการไทยเข้มแข็ง 2555 จะส่งผลดีต่อทุกๆ ภาคส่วนในสังคม เนื่องจากเป็นการกระจายการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นโครงการ รถไฟรางคู่ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงด้านการคมนาคม การพัฒนาสถานพยาบาลและด้านการศึกษา เป็นต้น

.

"คาดว่าโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งนอกจากจะส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศแล้วยังจะส่งผลดีต่อประชาชนทุกภาคส่วนในสังคมด้วย ไม่ว่าจะเป็น ชุมชน หมู่บ้าน ผู้สูงอายุ เยาวชน เกษตรกร ลูกจ้าง และการท่องเที่ยว ซึ่งคาดหวังว่ามาตรการไทยเข้มแข็งนี้จะช่วยทำให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจไทยอีก 3 เครื่องที่ไม่ดี ทั้ง การบริโภค การลงทุนภาคเอกชน การส่งออกฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่"

.

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ประจำเดือน ก.ย.52 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคต เพิ่มจากเดือน ส.ค.จาก 74.5 63.4 76.8 เพิ่มเป็น 75.6 64.3 78 ตามลำดับ

.

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต เพิ่มจาก 67.4 66.4 89.8 เป็น 68.4 67.3 91 ตามลำดับ เช่นกัน

.

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ความเชื่อมั่นเดือน ก.ย.เพิ่มขึ้น มาจากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศลดลงเฉลี่ยลิตรละ 2.20 บาท การที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2553 ขยายตัวบวก 3.3% และการที่รัฐบาลประกาศลงทุนผ่านโครงการไทยเข้มแข็งและยังต่ออายุ 5 มาตรการลดค่าใช้จ่ายประชาชนถึงสิ้นปี

.

แต่ยังมีปัจจัยลบเล็กน้อยจากการแข็งค่าของเงินบาท ปัญหาการเมือง ราคาสินค้าและการส่งออกที่หดตัว นอกจากนี้ หอการค้าฯ กำลังทำการประเมินการขยายตัวเศรษฐกิจของปี 2553 จากเดิมคาดไว้บวก 3-4% แต่ยังมีข้อกังวลต่อภาคลงทุน หากกรณีมาบตาพุดยืดเยื้อจนกระทบภาคลงทุนและการจ้างงาน เศรษฐกิจก็น่าจะขยายตัวเหลือไม่ถึง 3% ซึ่งมีโอกาสค่อนข้างสูง

.

"คงต้องระวังดัชนีความเชื่อมั่นเดือนตุลาคม เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่จะลดลงโดยให้ชะลอ 76 โครงการลงทุนในมาบตาพุด ทำให้จีดีพีไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ติดลบเพิ่มอีก 0.5% คิดเป็นมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน ทำให้ไทยยังต้องเสียค่า เสียโอกาสอีก 1 หมื่นล้านบาท และหากปล่อยให้ยืดเยื้อ 6-12 เดือน จะยิ่งส่งผลกระทบเศรษฐกิจอีก 1% มูลค่าความเสียหายกว่า 2-3 แสนล้านบาท ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้าที่คาดว่าจะขยายตัวเกิน 3% แต่จะเหลือแค่ 2% จากปีนี้ที่คาดว่าจะติดลบ 3.8-4.5%"

.
ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง