เนื้อหาวันที่ : 2009-09-14 10:04:34 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1449 views

สมอ.ดันเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้มาตรฐานสินค้าอาเซียน

สมอ.เตรียมเสนอสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 34 รายการ ใช้ระเบียบมาตรฐานสินค้าอาเซียน หวังอำนวยความสะดวกตรวจสอบสินค้า

สมอ.เตรียมเสนอสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 34 รายการ ใช้ระเบียบมาตรฐานสินค้าอาเซียน หวังอำนวยความสะดวกตรวจสอบสินค้า

.

.

นายชัยยง กฤตผลชัย รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันอาเซียนอยู่ระหว่างจัดทำร่างระเบียบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีเป้าหมายให้ชาติสมาชิกอาเซียน ยอมรับมาตรฐานตรวจสอบสินค้าระหว่างกัน โดยเดือน ต.ค.นี้ จะมีการประชุมความคืบหน้าร่วมกันที่ประเทศอินโดนีเซีย และจะประกาศบังคับใช้ระเบียบมาตรฐานดังกล่าววันที่ 1 ม.ค.2554  ซึ่งจะเป็นบันไดก้าวไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558

.

ทั้งนี้ แต่ละประเทศจะเสนอรายชื่อผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งชื่อผลิตภัณฑ์ของแต่ละประเทศอาจไม่เหมือนกัน โดยสินค้าที่ไทยจะเสนอให้อาเซียนพิจารณามี 34 รายการและอยู่ในมาตรฐานบังคับของ สมอ. เช่น หลอดไฟฟ้า บัลลาสต์ สวิตช์ไฟฟ้า สตาร์ทเตอร์ สายไฟทองแดง สายไฟอะลูมิเนียม เตารีด เป็นต้น

.

การใช้ระเบียบดังกล่าว จะทำให้การค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในอาเซียนคล่องตัวขึ้น เพราะปัจจุบันการส่งออกสินค้าดังกล่าวจะใช้ใบรับรองจากประเทศผู้ผลิต แต่ต้องตรวจสอบคุณภาพสินค้าซ้ำ ซึ่งไทยส่งออกเครื่องรับทีวีไปฟิลิปปินส์จำนวนมาก ขณะนี้ฟิลิปปินส์ต้องส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบโรงงานในไทยก่อนอนุญาตนำเข้า แต่เมื่อระเบียบมาตรฐานดังกล่าวบังคับใช้แล้ว ผู้ผลิตสามารถขอรับรองที่ สมอ.ได้

.

ทั้งนี้ในอนาคตอาเซียนมีเป้าหมายพัฒนาไปสู่เครื่องหมาย "Asain Mark" เหมือนอียูภายในปี 2558 ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตสินค้าในอาเซียนสามารถรับรองมาตรฐานจากประเทศใดในอาเซียนก็ได้

.

นายจารึก เฮงรัสมี ผู้อำนวยการสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ห้องปฏิบัติการของสถาบันฯพร้อมจะตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำหน่ายภายในอาเซียน ซึ่งหากตรวจสอบในไทยแล้ว ก็ไม่ต้องตรวจสอบซ้ำอีก ทำให้การค้าคล่องตัวและไม่มีกำแพง ทำให้ตลาดอาเซียนเป็นตลาดหลักของไทยใน 3-5 ปี โดยปีนี้คาดว่า จะมีมูลค่าส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 1.4-1.5 ล้านล้านบาท

.
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์