เนื้อหาวันที่ : 2009-08-28 12:11:39 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1830 views

เศรษฐกิจไทยหัวโตตัวง่อยเปลี้ย

ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจสถานภาพธุรกิจไทย เอสเอ็มอี-เกษตร-ท่องเที่ยวทรุดหนัก กำลังซื้อในประเทศแย่สินเชื่อฝืดเคือง ธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้นที่ดีขึ้น

ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจสถานภาพธุรกิจไทย เอสเอ็มอี-เกษตร-ท่องเที่ยวทรุดหนัก กำลังซื้อในประเทศแย่สินเชื่อฝืดเคือง ธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้นที่ดีขึ้น

.

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

.

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจสถานภาพของธุรกิจไทย ไตรมาส 2-4 และคาดการณ์ปี 53 ว่า ภาคการเกษตร การค้า บริการ ธุรกิจขนาดย่อม และขนาดกลางยังเผชิญภาวะถดถอย มีเพียงภาคอุตสาหกรรมการผลิต และธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้นที่มีผลประกอบการดีขึ้น     

.

โดยในภาคเกษตรน่าห่วงที่สุด มียอดขายลดลง 73.33% เพราะราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น 46.67% ทำให้กำไรลดลง 60% รองลงเป็นภาคการค้าที่ยอดขายลด 51.72% ต้นทุนเพิ่ม 53.33% กำไรลดลง 63.33% ภาคบริการและท่องเที่ยวลดลง 38.1% ต้นทุนเพิ่ม 42.86% กำไรลดลง 38.55% มีเพียงภาคอุตสาหกรรมที่ยอดขายเพิ่ม 54.76% ต้นทุนเพิ่ม 64.29% แต่กำไรเพิ่ม 56.1%

.

"แม้ภาวะเศรษฐกิจไทยจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดและฟื้นตัวแล้ว แต่ยังเป็นการฟื้นตัวช้า ๆ และกระจุกตัวเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมด้านการผลิตเท่านั้น ขณะที่ธุรกิจขนาดกลาง เอสเอ็มอี และรายย่อยยังไม่ฟื้นตัว และเผชิญปัญหายอดขาย กำไรลดลง ต้นทุนสูงขึ้น สภาพคล่องฝืดเคืองอยู่ เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในยังไม่ดี ทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีและรายเล็ก ซึ่งพึ่งพายอดขายสินค้าจากคนในประเทศ ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่ที่ฟื้นตัวได้เร็ว เพราะส่วนใหญ่พึ่งพาคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังฟื้นตัว ทำให้คู่ค้าเริ่มกลับมาสั่งสินค้าจากไทย ส่งผลให้ภาคการผลิต รวมถึงการส่งออกกลับมาดี"

.

ทั้งนี้ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยมากสุด คือ กำลังซื้อของประชาชน 15.39% รองลงเป็นเสถียรภาพทางการเมือง 14.93% ราคาสินค้าและน้ำมัน 12.75% ความเชื่อมั่นของคนในประเทศ 11.63% ความ เชื่อมั่นจากต่างชาติ 11.49% ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ 10.06% ส่วนสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขมากสุด ได้แก่ เพิ่มกำลังซื้อของประชาชน 24.86% เสถียรภาพการเมือง 18.38% สินเชื่อสถาบันการเงิน 13.56% น้ำมัน 12.30% ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ 8.17%

.

อย่างไรก็ตามแนวโน้มภาคธุรกิจในไตรมาสสี่ และปีหน้ามีสัญญาณดีขึ้นตามลำดับ โดยภาคธุรกิจเชื่อว่าผลประกอบการจะดีขึ้นต่อเนื่อง และกลับเข้าสู่ภาวะปกติในครึ่งแรกของปี 53 รวมถึงสัญญาณการจ้างงานจะฟื้นชัดเจนในต้นปีหน้า ที่จะมีการจ้างงานและปรับอัตราค่าจ้างงานเพิ่ม โดยการขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้ยังอยู่ในกรอบ -3.5% ถึง  -4.5% ส่วนปีหน้ากลับมาเป็นบวกได้ 2-3% 

.

นายธนวรรธน์กล่าวว่า สนับสนุนให้รัฐบาลเร่งปล่อยสินเชื่อระบบฟาสต์แทร็ก ช่วยเหลือภาคเอสเอ็มอีโดยด่วน รวมถึงสร้างความชัดเจนทางการเมืองให้เกิดขึ้น และที่สำคัญคือแก้ปัญหากำลังซื้อภาคประชาชนให้ฟื้นคืนมา เพราะการขาดความมั่นใจในการใช้จ่ายภาคประชาชน ได้บั่นทอนการเติบโตเศรษฐกิจของชาติ นอกจากนี้จะต้องการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรไม่ให้ตกต่ำ ราคาน้ำมันที่ภาคธุรกิจรับได้ดีเซลลิตรละ 27 บาท เบนซิน 33 บาท ดอกเบี้ย 7% และอัตราแลกเปลี่ยน 35.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

.

"สิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ ก็คือการสร้างความรับรู้เกี่ยวกับการรวมตัวประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะมีความชัดเจนในปีหน้า รวมถึงรายละเอียดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของโครงการไทยเข้มแข็ง เพราะภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ และขาดการเตรียมพร้อมรับมือ ซึ่งหากมีการเปิดเสรีการค้า แรงงาน และบริการจะกระทบ ต่อธุรกิจของคนไทยได้"

.
ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์