เนื้อหาวันที่ : 2009-06-25 11:15:17 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2498 views

กินให้อ่อนหวาน

ถ้าคุณชอบดื่มน้ำอัดลม เติมน้ำตาลก่อนชิมอาหารทุกครั้ง กินขนมขบเคี้ยวเป็นอาหารว่าง คุณอาจได้รับน้ำตาลเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ

นภากานต์ เกวี : {kawee_04@hotmail.com

.

.

ถ้าดิฉันจะชวนคุณผู้อ่านมาคิดถึงเรื่องอะไรที่หวานๆ คงจะได้คำตอบในทำนองว่า ถ้าเป็นความรักก็ต้องเป็นความรักที่คนสองคนแสดงความรักต่อกันจนคนรอบข้างอิจฉา หรือหากเป็นคำพูดก็ต้องเป็นคำพูดที่ผู้ฟังได้ยินแล้วรู้สึกพออกพอใจ และถ้าเป็นอาหารก็ต้องเป็นขนมหวานๆอย่างช็อกโกแล็ต เค้ก ไอศกรีม รวมทั้งขนมไทยของเราก็หวานไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะคะ  

.

คุณผู้อ่านเห็นด้วยไหมคะว่าความหวานเมื่อนำมาจับคู่กับสิ่งใด สิ่งนั้นก็ดูจะหอมหวนยั่วยวนเกินห้ามใจทำให้เราเผลอตัวเผลอใจติดรสหวานเอาเสียง่ายๆ แต่ความหวานที่ไร้ขีดจำกัด มักเป็นเพียงสิ่งจอมปลอมที่หลอกล่อให้เราตายใจแล้วทำให้เราเจ็บตัวเจ็บใจได้ในภายหลัง ยกตัวอย่างเรื่องความหวานกับการบริโภคที่กำลังเป็นปัญหาของคนไทยในปัจจุบันนี้

.

น้ำตาลเป็นตัวแทนของความหวานที่ทุกคนจะต้องนึกถึงเป็นอันดับแรก นอกจากทำหน้าที่เพิ่มความหวานให้กับอาหารแล้ว น้ำตาลยังทำหน้าที่เป็นสารอาหารหลักที่ให้พลังงานแก่ร่างกายเรา โดยน้ำตาล 1 กรัม จะให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี ในคนปกติต้องการพลังงานประมาณวันละ 1800-2400 กิโลแคลอรี ซึ่งองค์การอนามัยโลกแนะนำไว้ว่า ในหนึ่งวันเราไม่ควรได้รับพลังงานจากน้ำตาลเกินร้อยละ 10 ของพลังงานทั้งหมด  

.

.

สำหรับคนไทยควรบริโภคน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา เพราะน้ำตาลเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีเส้นใยอาหาร วิตามินและเกลือแร่ชนิดอื่นๆอยู่เลย ดังนั้น ถ้าคุณผู้อ่านเป็นคนหนึ่งที่ชอบดื่มน้ำอัดลม เติมน้ำตาลก่อนชิมอาหารทุกครั้ง หรือกินขนมขบเคี้ยวเป็นอาหารว่าง น่าสงสัยนะคะว่า คุณผู้อ่านอาจเป็นอีกคนที่ได้รับน้ำตาลเกินกว่าที่ร่างกายต้องการค่ะ

.

โดยปกติ เราได้รับพลังงานจากอาหารที่มีข้าว แป้ง เผือก มันเป็นส่วนประกอบ ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนไปเป็นเป็นน้ำตาลได้ในภายหลัง หรือแม้แต่ในผักผลไม้ก็มีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบด้วยเหมือนกัน มีบางคนเข้าใจผิดว่าน้ำตาลในผลไม้ไม่ทำให้อ้วนเหมือนกับน้ำตาลทรายที่ได้จากอ้อย  

.

ความจริงแล้วน้ำตาลที่พบในผลไม้หรือน้ำตาลฟรุกโตสเป็นน้ำตาลธรรมชาติที่มีความหวานมากที่สุด ซึ่งหวานกว่าน้ำตาลทรายหรือน้ำตาลซูโครสถึง 1.5 เท่า ดังนั้น การกินผลไม้ที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูงมากๆ เช่น มะม่วงสุก ทุเรียน เงาะ ลำไย จึงทำให้อ้วนได้ แม้ว่าเส้นใยอาหารในผลไม้จะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลดังกล่าวไปใช้อย่างช้าๆ ก็ตาม

.

.

แต่ก็มีน้ำตาลบางชนิดที่ไม่ทำให้อ้วน คุณผู้อ่านคงเคยได้ยินชื่อของน้ำตาลแอลกอฮอล์อยู่บ้างใช่ไหมคะ น้ำตาลแอลกอฮอล์เป็นน้ำตาลที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ซอร์บิทอล ไซลิทอล แมนนิทอล น้ำตาลชนิดนี้เป็นน้ำตาลที่ให้พลังงานต่ำมากเมื่อเทียบกับน้ำตาลปกติ และไม่ทำให้เกิดฟันผุ จึงนิยมใช้เป็นส่วนผสมในหมากฝรั่ง ลูกอม เครื่องดื่ม

.

รวมทั้งน้ำยาบ้วนปาก แต่น้ำตาลแอลกอฮอล์บางชนิดหากได้รับมากเกินไปอาจทำให้ท้องร่วงได้ นอกจากนี้ น้ำตาลแอลกอฮอล์ยังสามารถใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ น้ำตาลแอลกอฮอล์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่ยังตัดใจจากความหวานไม่ได้

.

อย่างไรก็ตาม คุณผู้อ่านควรตระหนักไว้นะคะว่า ความหวานให้ความอร่อยลิ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่โรคภัยที่ตามมานั้นกลับเป็นโรคเรื้อรังที่ยากต่อการรักษา เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคฟันผุ ดังนั้น การแก้ไขที่ต้นเหตุน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด คือการสร้างอุปนิสัยให้เป็นคนอ่อนหวาน เพื่อสุขภาพที่ดีและชีวิตที่ยืนยาวค่ะ