เนื้อหาวันที่ : 2009-06-17 19:08:56 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1143 views

นักวิเคราะห์มองหุ้นไทยขึ้นต่อยากห่วงศก.ไม่ฟื้นจริง-คาด GDPปี 53เป็นบวก

นักวิเคราะห์-นักวิชาการ มองโอกาสดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นต่อยาก หลังโดดมาถึง 40% เหตุไม่แน่ใจการฟื้นตัวเศรษฐกิจของสหรัฐ หวั่นจะมีปัญหาระลอกใหม่ ชี้ต้องติดตามการใช้จ่ายของรัฐที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ

นักวิเคราะห์-นักวิชาการ มองโอกาสดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นต่อยาก หลังโดดมาถึง 40% เนื่องจากไร้ข่าวดีสนับสนุน-PE สูง ประกอบกับยังไม่แน่ใจการฟื้นตัวเศรษฐกิจของสหรัฐ หวั่นจะมีปัญหาระลอกใหม่ ระบุต้องติดตามการใช้จ่ายภาครัฐที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยฟื้นในปีหน้า

.

โดยคาดว่าจีดีพีกลับมาเป็นบวก 2.9% จากปีนี้ติดลบ 3.3%  ขณะเดียวกันมองราคาน้ำมันอาจมีโอกาสปรับขึ้นหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวโดยคาดว่าปลายปีจะเห็นที่ระดับ 75-80 เหรียญ/บาร์เรล แต่ยังไปไม่ถึง 100 เหรียญ         

.

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ภัทร (PHATRA)

.

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ภัทร (PHATRA)  เปิดเผยว่า ปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นมา 40% ถือว่าอยู่ในระดับสูง เนื่องจากมีข่าวสนับสนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ทั่วโลก แต่หลังจากนี้มองว่าหากไม่มีข่าวดีมาสนับสนุนเพิ่มเติม การที่ตลาดหลักทรัพย์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นก็เป็นเรื่องยาก ต้องรอผลการกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุม G8 ในช่วงต้นเดือนก.ค. 

.

นอกจากนี้ P/E ของตลาดหุ้นไทยขณะนี้ถือว่าสูง เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทแบียน เนื่องจากการใช้กำลังการผลิตของภาคเอกชน ยังอยู่ในระดับไม่มาก ประมาณ  60% ซี่งเขาเห็นว่าระดับที่เหมาะสมควรจะมีการใช้กำลังการผลิต 75% ประกอบกับภาคเอกชนยังคงชะลอการลงทุน แต่เชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนปีนี้ติดลบ 15-16% ซึ่งส่งผลให้จีดีพีปี 52 คาดว่จะติดลบ 3.30% 

.

แม้ว่าขณะนี้มีการประเมินเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มเห็นสัญญาณกลับมาฟื้นตัว แต่จากการประเมินตัวเลขอัตราว่างงานตัวเลขสหรัฐ ยังคงปรับตัวเพิ่มจากระดับ 6% มาถึง 9% และแนวโน้มสิ้นปีคาดว่าจะอยู่ในระดับ 10% ส่วนอัตราการซื้อบ้านที่มองว่าเป็นตัวเลขเพิ่มขึ้นนั้นหากมองตัวเลขที่แท้จริงพบว่าเพิ่มจริงเพียง 50% โดยอีกครึ่งเป็นบ้านที่ถูกยึดจากวิกฤตเศรษฐกิจและสามารถขายได้ 

.

รวมทั้ง ตลาดหุ้นในสหรัฐก็ปรับเพิ่มขึ้น 30% ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของผู้ประกอบการสหรัฐยังไม่เปลี่ยน ดังนั้น จึงมีความกังวลว่า เอ็นพีแอลอาจจะปรับเพิ่มขึ้นอีก และเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวที่ไม่ได้เกิดจากการประกอบการที่แท้จริง 

.

สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกยังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย  อาทิ การแพร่ระบาดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 , ราคาสินค้าเกษตร, ธุรกิจการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายเงินของภาครัฐ 

.

"จากมาตรการต่างๆของภาครัฐที่ออกมาที่เริ่มมีการใช้จ่ายผ่านระบบสารธารณูปโภคเชื่อว่าปีหน้า จีดีพีจะกลับมาเป็นบวก และคาดว่าอยู๋ที่ 2.9%" นายศุภวุฒิ กล่าวในงานสัมนาเรื่อง"กลุยุทธ์การลงทุนในทองคำ น้ำมัน ตลาดหุ้นโลก" 

.

นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันที่เริ่มมีทิศทางอ่อนตัวลง เนื่องจากราคาน้ำมันปรับขึ้นไปสูงกว่า 70 เหรียญ/บาร์เรล อยู่บนพื้นฐานเก็งกำไร และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าทำให้ทิศทางแนวโน้มราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลดลง 

.

"เชื่อว่าหากเศรษฐกิจฟื้นตัวจริงทั้ง สหรัฐ ยุโรป และเอเชีย จะเริ่มมีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีอาจเห็นราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 75-80 เหรียญ/บาร์เรล แต่การที่จะปรับขึ้นไปถึง 100 เหรียญเหมือนปีก่อนเป็นเรื่องยาก และไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากหากราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นสูง เชื่อว่าผู้ผลิตน้ำมัน น่าจะมีการปรับการผลิตเพิ่มขึ้น" นายมนูญ กล่าว 

.

ส่วนกรณีภาครัฐจะยกเลิกการใช้ ไบโอดีเซลบี2 และ แก๊สโซฮออล์เบนซิน 91 โดยส่วนตัวเห็นด้วย เพราะว่าเมื่อพิจารณาต้นทุนการผลิต พบว่า ไบโอดีเซลบี2  มีต้นทุนน้ำมันปาล์มสูง และแก๊สโซฮออล์ 91  มีต้นทุนจากราคาเอทานอลสูงด้วย 

.

แต่การที่รัฐตรึงราคาก๊าซ LPG และ  NGV นั้นตนไม่เห็นด้วย เนื่องจากทำให้ การใช้พลังงานที่แท้จริงบิดเบือนไป และกลุ่มผู้ใช้รถหันมาใช้ LPG และ  NGV มากาขึ้น ซึ่งทำให้ประเทศไม่มีเสถียรภาพการใช้พลังงาน 

.

นายสุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน มองว่าในช่วงนี้นักลงทุนควรมีการลงทุนในทองคำ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงโดยระดับทองคำที่เหมาะสมคือ 15,000 บาท ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตจะได้รับผลตอบแทนที่ดี เพราะทิศทางราคาทองคำอยู่ในช่วงขาขึ้นในอนาคตเพราะสินค้าจำกัด