เนื้อหาวันที่ : 2009-06-12 11:02:05 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1201 views

ดัชนีผู้บริโภคตํ่าสุดในรอบ10ปี

ม.หอการค้าไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคทุกรายการทรุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 10 ปี เหตุราคาน้ำมันสูงขึ้นกระทบค่าครองชีพ จีดีพีดิ่งเหวรุนแรง จวกมาตรการกระตุ้นศก. นโยบายอภิมหาประชานิยม ยังไม่มีประสิทธิภาพ

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

.

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจประชาชนทั่วประเทศ 2,238 ตัวอย่าง เกี่ยวกับความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยประจำเดือน พ.ค. 52 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และส่วนใหญ่ลดลงต่ำสุดในรอบ 8 ปีครึ่ง โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน พ.ค. เท่ากับ 71.5 ต่ำสุดในรอบ 90 เดือน 

.

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปัจจุบัน 61.1 ต่ำสุดในรอบ 84 เดือน นับจากเดือน พ.ค. 45 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต 73.4 ต่ำสุดรอบ 92 เดือน นับตั้งแต่เดือน ต.ค. 44 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมลดเหลือ 64.3 ต่ำสุดในรอบ 90 เดือน นับจากเดือน ธ.ค. 44 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำลดเหลือ 63.8 ต่ำสุดรอบ 89 เดือน และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตเหลือ 86.2 ต่ำสุดรอบ 123 เดือน  

.

ทั้งนี้สาเหตุมาจากราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับเพิ่มขึ้นลิตรละ 2.40-2.80 บาท ส่งผลให้ผู้บริโภคกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพสูงขึ้นแต่รายได้ไม่เพิ่มตาม นอกจากนี้ยังวิตกกับเสถียรภาพทางการเมืองโดยเฉพาะความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล ที่สำคัญคนยังกังวลต่อตัวเลข  เศรษฐกิจที่ลดลงรุนแรงกว่าที่คาด โดยจีดีพีไตรมาสแรกของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติลบถึง 7.1% รวมถึงยอดการส่งออกที่หดตัว 25.2% และการแข็งค่าของค่าเงินบาทที่เพิ่มต่อเนื่อง

.

"ความกังวลต่อสถานภาพการจ้างงานถือเป็นปัญหาที่ทำให้ประชาชนไม่กล้าใช้สอย เชื่อว่าภาวะขาดแคลนกำลังซื้อในประเทศจะเกิดขึ้นชัดเจนตลอดไตรมาส  2 ถึงไตรมาส 3 ซึ่งระหว่างนี้ยอดขายสินค้าของภาคธุรกิจน่าจะลดลงตามด้วย จำเป็นต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ออกมากระตุ้นกำลังซื้อ"

.

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า แม้ตอนนี้นักวิชาการและภาคธุรกิจจะเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวแล้ว หลังเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและจีนดีขึ้น รวมถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ กับคำสั่งซื้อสินค้าก็เพิ่มตาม แต่ในภาคประชาชนยังไม่เกิดขึ้นและไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในเร็ว ๆ นี้ โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลรอบแรก ทั้งเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท

.

ต้นกล้าอาชีพ หรือมาตรการลดค่าครองชีพให้ใช้รถเมล์ รถไฟ ประปา ไฟฟ้าฟรี ยังไม่มีประสิทธิภาพแรงพอ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจได้ เพราะปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงกว่าที่คิด รัฐบาลจึงจำเป็นต้องอัดฉีดมาตรการระลอกใหม่ โดยเฉพาะการรับมือกับปัจจัยลบจากน้ำมันที่จะแพงขึ้นในอนาคต 

.

"ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเมืองเดือนนี้คลายตัวลง แต่คนเริ่มห่วงราคาน้ำมันมากขึ้น โดยคาดว่า 3 เดือนข้างหน้า ราคาน้ำมันตลาดโลกอาจทะลุ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะกระทบราคาขายปลีกภายในและกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยประเมินว่า หากน้ำมันเพิ่มลิตรละ 1 บาท จะกระทบต่อการใช้จ่ายประชาชน 2,100 ล้านบาท และทุก 1 เดือน น้ำมันจะเพิ่มลิตรละ 2 บาท จะกระทบต่อการใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาระที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ"

.

นอกจากนี้รัฐบาลต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ทั้ง พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท และงบประมาณประจำปีให้ได้ตามแผนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจคท์  จะต้องเริ่มภายในไตรมาส 4 รวมถึงเร่งรัดให้  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ต้องจ่ายเงินลงทุนลงท้องถิ่นให้เร็วที่สุด และเร่งกระตุ้นโครงการลงทุนจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจด้วย หากทำได้เชื่อว่าเศรษฐกิจปีนี้น่าจะติดลบที่ 3.5-4.5%.

.
ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์