เนื้อหาวันที่ : 2009-05-28 16:44:26 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1810 views

SGP ขยายธุรกิจก๊าซ LPG รุกตลาดเวียดนาม เล็งจีนเป็นฐานใหญ่

SGP ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการด้านพลังงานอันดับต้นๆของอาเซียน เดินหน้าลงทุนต่างประเทศปูทางเครือข่ายให้บริการนอกประเทศ เริ่มรุกตลาดเวียดนาม เล็งขยายฐานในจีน ที่เป็นตลาดใหญ่

บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) ตั้งเป้าหมายจะเป็นผู้ให้บริการด้านพลังงานอันดับต้นๆของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การลงทุนในต่างประเทศเป็นการปูทางเครือข่ายให้บริการนอกประเทศ เบื้องต้นเน้นลงทุนธุรกิจก๊าซ LPG รุกตลาดเวียดนามก่อนในปีนี้

.

ขณะที่มุ่งเจาะเข้าขยายฐานในจีน ที่เป็นตลาดใหญ่ เน้นที่จีนตอนใต้ ส่วนธุรกิจเอทานอล และ ธุรกิจถ่านหิน ก็จะส่วนต่อยอดให้กับธุรกิจต่อไป รวมทั้ง พัฒนาด้านโลจิสติกส์ต่อเนื่อง ล่าสุดสร้างท่าเรือสมุทรปราการ เพื่อลดต้นทุนและบริหารจัดการให้ดี

.
คาดก.ค.นี้รู้ผลเทกฯธุรกิจในเวียดนาม คาดใช้ทุนไม่เกิน 400 ลบ.
นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ SGP เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์" ว่าบริษัทจะรู้ผลเจรจาเข้าเทกโอเวอร์กิจการก๊าซ ในเวียดนามภายใน ก.ค.นี้ โดยระหว่างนี้เจรจาอยู่ 2 ราย หมายมั่นตลาดเวียดนามจะสดใสเพราะจำนวนประชากรมากถึง 80 ล้านคน ความต้องการรออยู่ เล็งขอส่วนแบ่งตลาด 10% ของตลาดเวียดนาม คาดจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทปีละประมาณ 2.1 พันล้านบาท 
.

"ที่เวียดนามเรามีแผนแน่นอนที่จะเข้าไป ก็คิดว่าเข้าเทกโอเวอร์คุ้มกว่าเร็วกว่าไปตั้งบริษัทใหม่  ก็คาดว่าจะรู้ผลเจรจาได้ในเดือนก.ค. ตอนนี้ก็ยังชั่งใจอยู่ว่าจะซื้อหุ้น หรือซื้อแค่ ASSET ถ้าเราตกลงกันได้ รายได้ทีเกิดขึ้นก็เข้ามาได้ทันที"นายศุภชัย กล่าว             

.

ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบประมาณวงเงินไม่เกิน 400 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อกิจการและปรับปรุง โดยบริษัทที่เจรจาอยู่ในโฮจิมินห์ ทางใต้ของเวียดนามใกล้ทะเล ซึ่งบริษัทนี้จะเป็นบริษัทขายก๊าซ LPG ในประเทศเวียดนาม ที่บริษัทจะใช้แบรนด์ "ยูนิคแก๊ส" ซึ่งเคยใช้ในเวียดนามเมื่อครั้งที่บริษัทเคยเข้าร่วมทุนในเวียดนาม และชื่อนี้ก็เป็นที่รู้จักในตลาดเวียดนามดีอยู่แล้ว  รวมทั้งบริษัทยังมีทีมงานขายยูนิคแก๊สที่เป็นคนเวียดนามอยู่ด้วย โดยทำทั้งค้าส่งหรือค้าปลีก ทั้งนี้บริษัทจะนำเข้าก๊าซ นอกเหนือจากไทย เข้าไปจำหน่ายในเวียดนาม 

.

ดังนั้น บริษัทจึงคาดว่า บริษัทจะสามารถเข้าไปมีส่วนแบ่งการตลาดในเวียดนามประมาณ 10% จากยอดขาย 1 แสนตัน/เดือนของทั้งตลาด หรือคิดเป็นยอดขายประมาณ 1 หมื่นตัน/เดือน โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการทำตลาด ซึ่งปัจจุบันมีผู้ค้าก๊าซในเวียดนามอยู่ 15 ราย ที่เป็นทั้งผู้ค้าในประเทศและต่างประเทศ 

.

เมื่อเช้านี้ บริษัทแจ้งว่า ได้จัดตั้ง Siamgas Vietnam Co., Ltd. เพื่อประกอบธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ในประเทศเวียดนาม โดยบริษัทถือสัดส่วน 100% ,Siamgas China Co., Ltd  เพื่อประกอบธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ใน ประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน ถือหุ้น 100% , Siamgas International Co., Ltd ใน British Virgin Islands (BVI) และ United & Petrochemicals Sdn. Bhd.ในมาเลเซีย

.
เล็งเจาะฐานตลาดจีน มองอนาคตเป็นตลาดใหญ่

สำหรับการลงทุนในจีน นายศุภชัย กล่าวว่า บริษัทได้ตั้งเป้าในแถบจีนตอนใต้ไว้ 2 มณฑล เพราะต้องการให้ใกล้กับทะเลเพื่อนำเข้าก๊าซ ได้ง่าย  อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนการเจรจากับรายใด ซึ่งมีทีมงานติดตามตลอด โดยมองว่า การเข้าไปอาจจะเข้าเทกโอเวอร์กิจการ หรืออาจเป็นรูปแบบร่วมทุน ซึ่งบริษัทในจีนส่วนใหญ่มีรัฐบาลจีนร่วมทุนอยู่ด้วย และคาดว่าเงินทุนที่จะใช้มากกว่าการลงทุนในเวียดนาม

.

"เราสนใจตลาดจีน เพราะมีความต้องการใช้อยู่ 23 ล้านตันต่อปี เทียบกับไทยมียอดการมช้เพียง 4 ล้านตันต่อปี เราคงมองเฉพาะจีนตอนใต้ ซึ่งเจริญมากกว่าเมืองอื่นและใกล้ทะเลด้วย...จีนน่าสนใจมากนะ เป็นตลาดที่มีฐานลูกค้าใหญ่มากๆ เราขอ Share สัก 1% หรือ 2% ในจีนก็เท่ากับ 70-80% ในประเทศอื่นแล้ว ก็เห็นว่าจึนเป็นตลาดสำคัญ แต่เงินลงทุนก็คงเยอะตามไปด้วย"นายศุภชัยกล่าว 

.

อย่างไรก็ตาม หลักการเข้าขยายธุรกิจในจีนยังไม่มีอะไรชัดเจน เพียงแต่ตอนนี้จัดตั้งบริษัทรองรับไว้ ทั้งนี้ การลงทุนในจีนไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในปีนี้ โดยระยะสั้นตอนนี้บริษัทเน้นไปที่เวียดนาม ตอนนี้มองๆ อยู่ว่าในตลาดจีนทำอะไรได้บ้าง เพื่อหาข้อมูลมาวิเคราะห์ ดูๆแล้วทำตลาดยากกว่าเวียดนามนิดหนึ่ง  

.

ขณะที่การจัดตั้ง Siamgas International Co., Ltd.ใน บริติช เวอร์จิ้น (BVI) ก็อาจะเป็นโฮลดิ้งคัมปะนี เช่นการลงทุนในจีน และตัวบริษัทมีกำไร ก็จะมีการจ่ายเงินปันผลให้บริษัทแม่  แต่มีการหักภาษีอยู่มาก  ซึ่งการจัดตั้งบริษัทนี้ได้รับคำแนะนำจากที่ปรรึกษาทางการเงิน เพราะอนาคตบริษัทจะมีการลงทุนในต่างประเทศมาก ซึ่งจะช่วยประหยัดเรื่องภาษีจ่าย 

.

"ที่ปรึกษาก็แนะว่า ไหนๆก็จัดตั้งบริษัทในจีนแล้ว ให้เปิดบริษัท BVI ไว้เป็น option ไว้เป็นเครื่องมือในการ transfer เงินที่ใช้ต้นทุนต่ำกว่า"นายศุภชัยกล่าว 

.

ส่วนบริษัทที่จัดตั้งใหม่ในมาเลเซีย นายศุภชัยกล่าวว่า จะเป็นบริษัทค้าผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ที่นำไปใข้ต่อในอุตสาหกรรมอื่น  คาดว่าใช้เงินลทุนไม่เกิน 5 ล้านริงกิต หรือประมาณ 50 ล้านบาท อาจจะเปิดดำเนินการทันในปีนี้ โดยคาดว่าจะมีรายได้ประมาณกว่า 100 ล้านบาทต่อปี  ส่วนธุรกิจก๊าซ LPG ไม่ได้ขยายเพราะตลาดมาเลเซียเล็กมีประชากรเพียง 20 ล้านคนเท่านั้น                                     

.

ทั้งนี้ นายศุภชัย กล่าวว่า เรื่องเงินทุนที่ใช้ในไนเวียดนามจำนวน 400 ล้านบาทได้เตรียมไว้แล้ว มาจากเงินขายหุ้นเพิ่มทุน(IPO) แต่เงินลงทุนในจีน และมาเลเซีย บริษัทได้ขอที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้วในการออกหุ้นกู้ 3 พันล้านบาท เพื่อรองรับการขยายกิจการ  "ถ้าเราขอเงินกู้ไม่ทันก็ออกหุ้นกู้ไปก่อน แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา แต่ปีนี้ก็ไม่แน่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์" นายศุภชัยกล่าว                                      

.
เดินหน้าซื้อเหมืองถ่านหินในอินโดฯ

ส่วนธุรกิจถ่านหิน นายศุภชัย กล่าวว่า บริษัทยังมองหาอยู่ และมีทีมงานที่อินโดนีเซีย โดยเล็งเหมืองถ่านหินที่ดีในอินโดฯขนาดไม่ใหญ่มาก  ซึ่งหากได้เหมืองแล้ว คงต้องหาแหล่งเงินกู้  เพราะบริษัทไม่ได้เตรียบมทุนสำหรับส่วนนี้ โดยวางแผนซื้อเพียง 1 เหมืองเท่านั้น 

.

"เราเข้าไปดูนานแล้ว คิดว่าปีนี้ไม่น่าได้ ไม่ใช่แค่ ช้อปปิ้งหาเหมืองอย่างเดียว เราก็ต้องรอกฎหมายที่รอคลอดด้วย เพราะเดิมที ที่อินโดฯไม่มีกฎหมายชัดเจนเกี่ยวกับการเปลี่ยนมือเหมืองถ่านหินขนาดเล็ก ซึ่ง ที่ผ่านมาเคยมีบริษัทไทยเคยโดนยึด เราก็ต้องศึกษาพอสมควรเพราะเราเป็นน้องใหม่ในวงการนี้ "นายศุภชัย กล่าว 

.

สาเหตุที่บริษัทขยายธุรกิจเหมืองถ่านหิน นายศุภชัย เห็นว่า ขณะนี้โลกตื่นตัวเรื่องพลังงานที่ทดแทนเชื้อเพลิง ซึ่งมองว่าถ่านหินเป็นเชื้อเพลืงที่มีราคาถูกกว่าน้ำมัน แม้ขณะนี้น้ำมันปรับตัวลง ถ่านกินก็ยังมีราคาถูกกว่า อย่างไรแล้ว ถ่านหินก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าน้ำมันที่มีแนวโน้มราคาสูงในอนาคต 

.

"ธุรกิจถ่านหิน ผมก็ยังสนใจ ผมมองว่า เป็นโอกาสด้วย ซึ่งธุรกิจถ่านหิน hot มาก ทั่วโลก การที่ผมมองถ่านหิน ไม่ได้มองตลาดที่ไทย แต่จะส่งไปตลาดเกาหลี ญี่ปุ่นซึ่งต้องการพลังงานจากประเทศอื่น"นายศุภชัยกล่าว   

.

ส่วนธุรกิจเอทานอล หลังจากที่บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท สยาม เอทานอล เอ็กซ์ปอร์ท จำกัด สัดส่วน 70% เมื่อ ก.ย. 51 ได้เดินเครื่องมาระยะหนึ่ง และตอนนี้ได้หยุดการผลิตชั่วคราว โดยบริษัทเข้ามาปรับเปลี่ยนระบบและเพิ่มเติมเครื่องจักร ที่สามารถผลิตเอทานอลใช้กับํธุรกิจน้ำมัน และ ธุรกิจอาหารได้ จากเดิม ผลิตเอทานอล ที่ใช้ได้กับอุตสาหกรรมอาหารอย่างเดียว และขณะนี้อยู่ในช่วงทดสอบ คาดว่าจะเริ่มเดินเครืองใหม่ได้อีกครั้งในต้นปี 53 โดยใช้เงินลงทุน 20 ล้านบาท  ทั้งนี้มีกำลังการผลิต 1 แสนลิตร/วัน หรือ 3 ล้านตัน/เดือน 

.

สำหรับการลงทุนสร้างท่าเรือสมุทรปราการ ตั้งงบประมาณไว้ 400 ล้านบาท ใช้ในช่วงปี 52-53 ซึ่งตอนนี้เริ่มถมทรายแล้ว โดยปีนี้คงใช้เงินทุนไม่มากไม่ถึง 100 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างเสร็จในปีหน้า บนพื้นที่ 100 ไร่ ปัจจุบันบริษัทมีท่าเรือ 5 แห่ง ได้แก่ บางปะกง สาธุประดิษฐ์ สุราษฎร์ซึ่งมี 2 แห่ง และล่าสุด สมุทรปราการ และมีกองเรือ 16 ลำ

.
คงเป้ากำไร-รายได้ปี 52 ไม่ต่ำกว่า 15%

นายศุภชัย คาดว่า ปีนี้กำไรสุทธิ และรายได้ เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อน แต่มั่นใจว่าบริษัททำได้เกินเป้าหมาย หลังจากที่เห็นผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมาเติบโตมาก และคาดว่ารายได้และกำไรในไตรมาส 2/52 จะโตกว่า ไตรมาส 1/52 แม้ว่าจะมีเหตุกาณณ์ผู้ชุมนุมปะทะกันจากปัญหาการเมือง แต่หากไม่มีปัญหาการเมืองก็คาดว่าจะมียอดขายดีกว่านี้ โดยในไตรมาส 1/52 ก็เผชิญวิกฤตน้ำมันราคาปรับลดลง

.

"เราตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% แต่ผมว่าเกินแน่นอน เพราะตอนตั้งเป้าเราทำปลายปีซึ่งตอนนั้นสถานการณ์โลกไม่ดี บรรยากาศไม่ดีเลย แต่เราไม่ปรับเป้า ผมมองว่า ไม่ควรต่ำกว่า 15% ตอนนี้เรามาถูกทาง และดีกว่าที่เราตั้งเป้าไว้เสียอีก คิดว่าทั้งปีไม่ต่ำกว่า 15% ทั้งกำไรด้วย"นายศุภชัยดล่าว 

.

ทั้งนี้ โครงสร้างรายได้ของบริษัทจาก ธุรกิจก๊าซ LPG ประมาณ 60% , ธุรกิจโลจิสติกส์ 15%, ธุรกิจเคมีภัณฑ์ 15%, ธุรกิจอื่น รวมการให้บริการท่าเรือ ประมาณ 10%