เนื้อหาวันที่ : 2009-05-15 14:04:12 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1321 views

ซีพีเอฟ กำไรไตรมาส 1 เพิ่ม 71%

ซีพีเอฟ เผยการบริหารด้านผลิตและการเงินได้ผลตามเป้า บวกกับธุรกิจสัตว์น้ำทั้งในและต่างประเทศเริ่มกระเตื้อง ทำให้กำไรไตรมาส 1 เพิ่ม 71% เตรียมพร้อมลุยลงทุนต่อใน อินเดีย

บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ ซีพีเอฟ ผู้นำด้านธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของประเทศไทย รายงานกำไรสุทธิรวมรอบ 3 เดือนปี 2552 จำนวน 771 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 71 โดยอัตราทำกำไรปรับตัวดีขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปี 2551 ที่ผ่านมา จากนโยบายการบริหารด้านการผลิต การบริหารกระบวนการทำงาน และการบริหารการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับธุรกิจสัตว์น้ำทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเริ่มกลับสู่ภาวะปกติทางการค้าจากภาวะซบเซาในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา 

.

นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายจำนวน 34,779 ล้านบาท เติบโตไม่มากนักเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากยอดขายในบางส่วนงาน อันรวมถึงอาหารสัตว์บกและพันธ์สัตว์ลดลงจากระยะเวลาเดียวกันจากปีที่ผ่านมา  

.

ซึ่งเป็นผลจากการเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศที่ลดลง แต่อัตราทำกำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในหลายส่วนงาน โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจสัตว์น้ำทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ  ซึ่งในภาพรวมนั้นการเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากนโยบายที่บริษัทดำเนินการมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เกี่ยวกับการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน ทั้งด้านบริหารการผลิต ด้านบริหารสินค้าคงคลัง ด้านบริหารลูกหนี้ทางการค้า และด้านการบริหารทางการเงิน

.

ด้านความกังวลเรื่องภาวะวิกฤตทางการเงินของประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา มีผลกระทบกับยอดขายส่งออกไม่มากนัก เนื่องจากประเทศไทยได้รับคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้นจากประเทศญี่ปุ่น อันเป็นผลจากกรณีที่ประเทศจีนมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยในสินค้าอาหารในปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นสินค้าอาหารพร้อมรับประทาน เช่น เกี๊ยวกุ้งตราซีพี ที่ซีพีเอฟได้เริ่มรุกตลาดส่งออกในปีที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับจากตลาดต่างประเทศหลายประเทศเป็นอย่างดี โดยล่าสุดคือในสหรัฐอเมริกา ทำให้ยอดขายของสินค้าอาหารพร้อมรับประทานนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

.

ในวันที่ 13 พ.ค. 2552 นี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการเพิ่มการลงทุนในประเทศอินเดีย โดยซีพีเอฟจะเข้าไปซื้อเงินลงทุนเพิ่มอีกจำนวน 28.8% ใน Charoen Pokphand (India) Private Ltd. ("CPI") ซึ่งเป็นบริษัทที่ซีพีเอฟถือหุ้นอยู่เดิมจำนวน 71.2% ของทุนที่ชำระแล้ว  ซึ่งจะทำให้ซีพีเอฟเป็นผู้ถือหุ้น 100% ในบริษัทนี้   CPI เป็นบริษัทที่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมีโอกาสในการเติบโตสูง เนื่องจากประเทศอินเดียเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาและมีศักยภาพในการเติบโตสูง ดังนั้น บริษัทฯจะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการมีสัดส่วนการถือหุ้นใน CPI ที่มากขึ้น

.

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงระยะเวลา 9 เดือนที่เหลือของปี 2552 นี้ นายอดิเรก ศรีประทักษ์กล่าวว่าน่าจะดีต่อเนื่องจากไตรมาส 1 และน่าจะดีกว่าปี 2551 ที่ผ่านมา จากผลของการบริหารด้านประสิทธิภาพขององค์กรโดยรวม และจากการเติบโตของธุรกิจการส่งออกสินค้าพร้อมรับประทานที่มีการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด นอกจากนั้นกิจการในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศตุรกี ก็มีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างมากจากปีก่อนด้วยเช่นกัน