รัฐอภิประชานิยม เตรียมออกกฎหมายกู้เงินฉุกเฉินภายใต้วงเงิน 800,000 ล้านบาท หลังเงินคงคลังหมดไปกับนโนบายแจกเกลี้ยง ลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจโดนแช่แข็งไม่เป็นไปตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ยังต้องรอเงินทุนใช้จ่ายอีกเพียบ รายได้จัดเก็บภาษีปีนี้หายหดหาย
ประดิษฐ์ รมช.คลัง นัด กรณ์ รมว. คลัง นพ.พฤฒิชัย รมช.คลัง พร้อม ด้วยนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง และหน่วยงานรับผิดชอบ หารือในประเด็นที่กระทรวงการคลังจำเป็นต้องออกกฎหมายกู้เงินฉุกเฉินภายใต้วงเงิน 800,000 ล้านบาท เพื่อไม่ให้การเบิกจ่าย งบประมาณของรัฐสะดุด |
ขณะที่การลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 จำเป็นต้องเร่งดำเนิน การ ทั้งนี้ เนื่องจากหน่วยงานจัดเก็บภาษีแจ้งว่า รายได้ในปีนี้หายหดหายไปไม่น้อยกว่า 300,000 ล้านบาท |
การประชุมวาระพิเศษดังกล่าวมีขึ้นที่กระทรวงการคลัง เมื่อวานนี้ (5 พ.ค.) หลังจากที่ข้าราชการระดับสูง และบรรดารัฐมนตรีช่วยแสดงความเห็นว่า รู้สึกอับอายขายหน้าที่ข้าราชการระดับรองอธิบดีกรมบัญชีกลางให้ สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า กระทรวงการคลังอาจจะต้องไปขอยืมเงินค่าลงทะเบียนเรียนของนักศึกษา และค่าธรรมเนียมวางศาลมาใช้ไปพลางๆ ก่อน โดย เหตุดังกล่าว ทำให้นายประดิษฐ์ต้องเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้อง พร้อมเชิญนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเพิ่งจะเดินทางกลับจากการเดินทางไปร่วมประชุมธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เข้า ร่วมประชุมด้วย |
ด้านนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงคลังจะเสนอที่ประชุม ครม. พิจารณาออกกฎหมายใหม่ 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติกู้เงินในวงเงินไม่เกิน 400,000 ล้านบาท และพระราชกำหนดพิเศษกู้เงินฉุกเฉินอีก 400,000 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินกู้ทั้งสิ้น 800,000 ล้านบาท ส่วนรายละเอียดจะได้มีการหารือเพื่อกำหนดกรอบความจำเป็น และมาตรการที่จะใช้จ่ายเงินดังกล่าวกันในที่ประชุม ครม.อีกครั้งในเช้าวันนี้ (6 พ.ค.) |
โดยแผนการกู้เงินดังกล่าว จะเป็นแผนการกู้เงินต่อเนื่อง 3 ปีภายใต้ "แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555" โดยจะสิ้นสุดในปี 2555 แบ่งเป็นเงินกู้เร่งด่วน ผ่านการออกพระราชกำหนดฉุกเฉิน 400,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำมาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในวงเงิน 300,000 ล้านบาท ส่วนอีก 100,000 ล้านบาท จะนำไปชดเชยเงินคงคลังที่ได้นำออกมาใช้ ส่วนอีก 400,000 ล้านบาท ซึ่งจะออกเป็นพระราชบัญญัติ เสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภา จะนำไปใช้เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 |
คาดว่าการลงทุนในระยะเริ่มแรกจาก ปี 2552-2553 อาจจะใช้จ่ายเงินได้เพียง 400,000 ล้านบาท สำหรับแหล่งเงินที่จะใช้ในการกู้นั้น ส่วนใหญ่จะกู้เงินในประเทศ เนื่องจากยังมีสภาพคล่องเหลือในระบบจำนวนมาก และนอกจากเงินที่เหลืออยู่ในระบบธนาคารพาณิชย์แล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังสามารถลงทุนในพันธบัตร รัฐบาลเพื่อปล่อยสภาพคล่องเข้าระบบได้อยู่แล้ว |
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบความเป็นไปได้ของโครงการต่างๆ ที่แต่ละกระทรวงเสนอมาแล้ว ยังเป็นการยากที่จะมองเห็นความเป็นไปได้ ของการลงทุน ที่สำคัญ ข้าราชการแต่ละกระทรวงยังคงใส่เกียร์ว่าง และอีกจำนวนมากที่ไม่กล้าตัดสินใจ จัดซื้อจัดจ้าง ด้วยเหตุที่กลัวจะถูกตรวจสอบ หรือถูกร้องเรียนว่ามีการทุจริตประพฤติมิชอบ จึงไม่มีหน่วยงานใดลงมือทำงานตามแผนการที่ได้วางไว้ |
"ยิ่งไม่มีรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพผลักดันให้เกิดการลงมือทำในโครงการต่างๆ ก็ยิ่งไม่สามารถจะคาดหวังได้ว่า โครงการต่างๆ จะเดินหน้าไปได้อย่างไร" ข้าราชการระดับสูง กระทรวงการคลังเปิดเผย |
นอกเหนือจากการออกกฎหมายกู้เงินในวงเงินดังกล่าวแล้ว ยังมีรายงานด้วยว่า กระทรวงการคลังจะเสนอให้ ครม.พิจารณาแนวคิดเรื่องการนำเงินในบัญชีสำรองพิเศษซึ่งเป็นเงินกำไรสะสมจาก ทุนสำรองทางการระหว่างประเทศมาใช้เพื่ออุดรูโหว่ในงบประมาณรายจ่าย เพื่อฉุดรั้งไม่ให้ภาวะเศรษฐกิจปักหัวลงอย่างรุนแรงในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีนี้ ขณะเดียวกันเพื่อนำเงินดังกล่าวไปใช้ในการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับคนในประเทศ โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับทุนสำรองเงินตราที่หนุนหลังการพิมพ์ ธนบัตรอยู่ โดยเงินดังกล่าวที่จะนำมาใช้มีวงเงินราว 800,000 ล้านบาทด้วยกัน "ในระยะเวลา 2-3 ปีนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้เงินราว 2 ล้านล้านบาท เพื่อค้ำยันไว้ไม่ให้เศรษฐกิจร่วงจากปากเหวลงไป" ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังกล่าว |
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในการประชุม ครม. วันที่ 6 พ.ค. กระทรวงการคลังยังจะเสนอขออนุมัติกรอบการเจรจากู้เงินจากต่างประเทศสำหรับโครงการ 3 โครงการ ตามแผนการก่อหนี้ต่างประเทศประจำ ปีงบประมาณ 2552 ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2552 โดยรวมกรอบวงเงินที่จะขอกู้เงินประมาณ 311.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 10,277.20 ล้านบาท รวมทั้งจะมีการพิจารณาโครงการที่ถูกตัดออกจากการที่ ครม.ให้ปรับ งบประมาณปี 2553 ลง 200,000 ล้านบาทด้วย |
แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยกับโพสต์ทูเดย์ว่า วงเงินลงทุนของรัฐบาลจำนวน 1.56 ล้านล้านบาทนั้น จะกู้มาเพื่อใช้รองรับการลงทุนในปีงบประมาณ 2553 ที่จะเริ่มเดือน ต.ค.เป็นต้นไป จำนวน 4.89 แสนล้านบาท เป็นวงเงินที่ใช้ลงทุนในปีงบประมาณ 2554 จำนวน 5.2 แสนล้านบาท และเป็นวงเงินผูกพันเพื่อใช้ในการลงทุนในปีงบประมาณ 2555 อีก 5.6-5.7 แสนล้านบาท โดยนำเงินจากงบประมาณ งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ เงินกู้ และการร่วมลงทุนของภาครัฐและเอกชน หากใช้เงินตามแผนงาน คาดว่าจะสร้างงานใหม่ได้ 1.6 ล้านคน ใน 3 ปี และน่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกปีละ 3-5% |
"ในการประชุมร่วมกันของคณะกรรมการจัดทำแผนฟื้นฟูนั้น เมื่องบ 1.56 ล้านล้านบาทผ่านแล้ว จะมีการเร่งใช้ลงทุนในปีนี้จริงๆ ตั้งแต่เดือนต.ค.-ธ.ค.ไม่น้อยกว่า 1.3-1.6 แสนล้านบาท โดยจะเน้นหนักไปในเรื่องการสร้างระบบชลประทานขนาดเล็กประมาณ 7,000-8,000 แห่ง ถนนปลอดฝุ่นในพื้นที่ต่างๆ ร่วม 7,500 สาย รวมถึงการสร้างแฟลตที่พักอาศัยให้กับตำรวจ ข้าราชการ สร้างโรงเรียน และสถานีอนามัยทั่วประเทศ" แหล่งข่าวเปิดเผย |
. |
สำหรับโครงการและแผนการลงทุนที่ต้องมีการจ้างที่ปรึกษาและเป็นโครงการลงทุนระบบรางรถไฟฟ้า โลจิสติกส์ และชลประทานระบบท่อนั้น จะเป็นการลงทุนจริงในปี 2554-2555 เนื่องจากมีกระบวนการในการประมูล |
. |
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้ได้ข้อสรุปทั้งหมดเกี่ยวกับการจัดสรรเงินลงทุนในโครงการด้านต่างๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจแล้ว โดยการใช้เงินลงทุนผ่านโครงการต้องการเน้น การลงทุนในโครงการที่ไม่ใหญ่โตมากนัก เพราะต้องการให้เป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ |
. |
"การใช้เงินผ่านงบประมาณของรัฐบาลไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ต้องหาแหล่งเงินทุนจากการกู้มาทดแทน และรัฐบาลต้องออกกฎหมายเพื่อให้อำนาจรัฐบาลกู้เงินเพิ่มเติม" นายศุภรัตน์ กล่าว |
. |
ที่มา: ประชาไทดอทคอม |