เนื้อหาวันที่ : 2009-05-06 16:14:55 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1205 views

ครม.ไฟเขียวแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งกระตุ้นศก.ก๊อก 2 วงเงิน 1.43 ล้านลบ.

กรณ์ เผย ครม. ไฟเขียวดันแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะ 2 เล็งเพิ่มการจ้างงานผ่านโครงการลงทุนของรัฐ พร้อมสร้างขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาว เตรียมผลาญอีก 1.43 ล้านล้านบาท

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้อนุมัติแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 เป็นโครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะ 2 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มการจ้างงานผ่านโครงการลงทุนของรัฐ ควบคู่การสร้างขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาว ซึ่งในเบื้องต้นมีวงเงินที่ได้รับอนุมัติ 1.43 ล้านล้านบาท จากทั้งหมดที่รัฐบาลเตรียมการณ์ไว้ 1.56 ล้านล้านบาท                                        

.

โครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะ 2 ที่ได้รับอนุมัติในวันนี้ มีระยะเวลาลงทุน ปี 52-55 คาดว่าจะทำให้เกิดการจ้างงานประมาณ 1.6-2.0 ล้านคน

.

รมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลมีความพร้อมดำเนินโครงการลงทุนดังกล่าวได้ทันที เนื่องจากได้นำเสนอ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ทันที รวมถึงยกร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ รอเสนอที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบต่อไป 

.

"การจัดหาเงินโครงการนี้จะเป็นการระดมทุนจากตลาดในประเทศเป็นหลัก เนื่องจากสภาพคล่องยังมีอยู่มากและเพียงพอ ประกอบกับรัฐบาลยังมีฐานะการคลังเข้มแข็ง มีหนี้สาธารณะอยู่ระดับไม่สูงมาก จึงสามารถกู้เงินมาใช้จ่ายในโครงการลงทุนได้ โดยไม่กระทบต่อฐานะการคลัง"นายกรณ์ กล่าว

.

รมว.คลัง กล่าวอีกว่า แม้การหาเงินทุนสนับสนุนโครงการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอาจจะส่งผลให้หนี้สาธารณะของไทยปรับสูงขึ้นจาก 40%ของจีดีพีในปัจจุบันเป็น 60% ในปี 56 แต่ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนครั้งนี้เชื่อว่ามีความคุ้มค่า เพราะจะช่วยสร้างโอกาสการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และคาดว่าจะส่งผลให้หนี้สาธารณะเริ่มลดลงได้ตั้งแต่ปี 57 จนเหลือระดับ 47% ในปี 61

.

สำหรับ โครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ที่ได้รับอนุมัติมีมูลค่าทั้งหมด 1.43 ล้านล้านบาท  แยกเป็น  โครงการขนส่ง/Logistic จำนวน 571,523 ล้านบาท จะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง (Logistic Cost) จากปัจจุบันที่สูงถึง 19%ของ GDP, โครงการด้านทรัพยากรน้ำและการเกษตร จำนวน 238,515 ล้านบาท จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตการเกษตรให้แก่เกษตรกร,

.

โครงการสาธารณสุข จำนวน 99,399 ล้านบาท จะช่วยปฏิรูปคุณภาพระบบสาธารณสุขที่มีมาตรฐานสูงสำหรับคนไทย, โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยว จำนวน 18,537 ล้านบาท จะช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวโดยการปรับปรุงสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว 

.

รมว.คลัง กล่าวอีกว่า ภายใต้แผนงานดังกล่าวจะมีการออก พ.ร.ก. ที่ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ  เป็นการใช้เพื่อลงทุนในโครงการลงทุน ภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ได้ทันที รวมถึงการใช้เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการคลัง กระทรวงการคลัง จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 31 ธ.ค.53  เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถกู้เงินได้ในวงเงินไม่เกิน 4 แสนล้านบาท 

.

ขณะที่ การออก พ.ร.บ. ให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในวงเงิน ไม่เกิน 4 แสนล้านบาท กระทรวงการคลังจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 31 ธ.ค. 54 ใช้เพื่อโครงการลงทุนตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ในช่วง 2-3 ปี       

.

ทั้งนี้ โครงการลงทุนตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ที่สามารถเริ่มโครงการลงทุนได้ทันที เป็นมูลค่าลงทุน 1.06 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย โครงการลงทุนด้านแหล่งน้ำและระบบชลประทานขนาดเล็ก โครงการก่อสร้างถนนในชนบท โครงการก่อสร้างสถานีอนามัย และโครงการก่อสร้างโรงเรียน   

.

นายกรณ์ กล่าวว่า ภายใต้แผนการลงทุนตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 จะทำให้ผลผลิตมวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ของไทยปรับสูงขึ้นไปอยู่ระดับ 10 ล้านล้านบาทในช่วงปลายปี 54 และ ขณะที่ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยปี 52 จีดีพีจะเติบโตในระดับ -3.5% จากนั้นในปี  54  จีดีพีจะเติบโต 4% และปี 57  จีดีพีจะเติบโต 5.5% 

.

ทั้งนี้ รัฐบาลจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณากลั่นกรอง และดูแลความคืบหน้าของโครงการต่างๆ รวมทั้ง รายงานความคืบหน้าต่อ ครม.และรัฐสภา 

.

ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การจัดเก็บรายได้ภาครัฐในช่วง 7 เดือนแรกปีงบประมาณ 52 ต่ำกว่าเป้าหมาย 102,993 ล้านบาท คิดเป็น 12.5% โดยรัฐบาลจัดเก็บรายได้ทั้งสิ้น 714,412 ล้านบาท จากเป้าหมาย 817,405 ล้านบาท

.

โดยกรมสรรพากร จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 61,933 ล้านบาท คิดเป็น 10.67% กรมศุลกากร จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 10,506 ล้านบาท คิดเป็น 18.13% กรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 30,556 ล้านบาท คิดเป็น 11.08%