เนื้อหาวันที่ : 2009-04-16 14:43:29 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1136 views

รมช.คลัง ยอมรับรัฐบาลอาจต้องกู้เงินมากกว่า 9.4 หมื่นลบ.ในปีงบ 52

ประดิษฐ์ รมช.คลัง ยอมรับรัฐบาลอาจจำเป็นต้องกู้เงินมากกว่า 9.4 หมื่นล้านบาท ทำให้ต้องขอขยายเพดานการกู้เงินเกินกว่ากรอบที่กฎหมายกำหนด แจงการกู้เงินเป็นเป็นการกู้ในประเทศ คาดคงสรุปไม่ทันประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ

นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกับนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง, ปลัดกระทรวงการคลัง และ ผอ.สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) ยอมรับว่าขณะนี้รัฐบาลอาจจำเป็นต้องกู้เงินมากกว่า 9.4 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 52 ซึ่งอาจส่งผลให้รัฐบาลต้องขอขยายเพดานการกู้เงินเกินกว่ากรอบที่กฎหมายกำหนดไว้                                                                        

.

การกู้เงินดังกล่าวจะเป็นการกู้ในประเทศ แต่ยังไม่ได้หารือถึงวงเงินกู้เพิ่มที่ชัดเจนในขณะนี้ และคงยังไม่สามารถสรุปเรื่องดังกล่าวทันเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษในวันพรุ่งนี้(17 เม.ย.) 

.

"ตอนนี้การกู้เงินไม่ได้เสียหาย เพราะทรัพย์สินของรัฐบาลยังมีอยู่ แต่กู้แล้วนำไปใช้ประโยชน์อะไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้เพื่ออะไร ต้องชี้แจงต่อสาธารณะชนได้ว่าใช้เพื่อจ้างแรงงาน หรือท่องเที่ยว" นายประดิษฐ์ ระบุ 

.

รมช.คลัง กล่าวด้วยว่าจากเหตุความวุ่นวายทางการเมืองในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งทำให้มีผลต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 52 โดยคาดว่ารัฐบาลอาจจะจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการณ์ถึง 2.4 แสนล้านบาท จึงทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งหารายได้อื่นมาชดเชยการจัดเก็บรายได้ที่หายไปส่วนนี้ และหากจำเป็นต้องกู้เงินก็พร้อมจะดำเนินการ 

.

ส่วนการปรับขึ้นภาษีนั้น กระทรวงการคลังได้หารือกันอย่างต่อเนื่องก่อนเกิดเหตุความวุ่นวายทางการเมือง และขณะนี้กรมจัดเก็บภาษีกำลังพิจารณาเรื่องนี้ โดยยืนยันว่าการปรับขึ้นภาษีจะเน้นการสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษี และปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี ซึ่งไม่ใช่การขูดรีดเงินจากประชาชนอย่างแน่นอน 

.

รมช.คลัง กล่าวด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลเป็นเพียงเครื่องจักรเดียวที่จะเข้ามาดูแลเศรษฐกิจ เนื่องจากภาคเอกชนไม่ขยายการลงทุน ประชาชนไม่มีการจับจ่ายใช้สอย และการกู้เงินป็นแนวทางที่ทุกประเทศดำเนินการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ 

.

นายประดิษฐ์ กล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น โดยที่รัฐบาลได้มีการจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุม มีการกำหนดระยะเวลาชัดเจน และดำเนินการตามกฎหมายกับกลุ่มผู้ก่อความวุ่นวาย เชื่อว่าเป็นแนวทางที่รัฐบาลทำมาถูกทางแล้ว และเป็นการเรียกคืนความเชื่อมั่นทั้งและในต่างประเทศได้   

.

การที่รัฐบาลเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่น โดยยึดแนวทางของกฎหมาย จะทำให้การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในระยะต่อไปจะเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น 

.

"ผมคิดว่ารัฐบาลเดินมาถูกทางแล้วที่ยึดแนวทางตามกฎหมายกับกลุ่มผู้ชุมนุม  เพื่อสร้างความเชื่อมั่น แม้ความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้น อาจจะไม่ได้เกิดผลทันทีก็ตาม แต่เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบมาก หากเราตั้งหลักถูกก็เดินหน้าได้ด้วยดี" นายประดิษฐ์ กล่าว