เนื้อหาวันที่ : 2008-10-08 16:22:47 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1652 views

เอแบคโพลชี้ตปท.มองไทยยังน่าลงทุนลำดับต้นอาเซียน ลุ้นยุบสภาแก้วิกฤติ

ศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจความเห็นนของนักธุรกิจ-นักลงทุนชาวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่ยังจัดให้ประเทศไทยอยู่ในบรรยากาศการลงทุนที่ดีในลำดับต้นๆ ของกลุ่มอาเซียนและจีน

.

ศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจความเห็นนของนักธุรกิจ-นักลงทุนชาวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่ยังจัดให้ประเทศไทยอยู่ในบรรยากาศการลงทุนที่ดีในลำดับต้นๆ ของกลุ่มอาเซียนและจีน

.

โดยผลการสำรวจถึงประเทศที่เป็นเลิศในด้านระบบสาธารณูปโภค พบว่า อันดับแรกสิงคโปร์ อันดับสองไทย และอันดับสามจีน, ประเทศที่มีวัตถุดิบเพียงพอ อันดับแรกจีน อันดับสองไทย และอันดับสามอินโดนีเซีย, ประเทศที่มีความเป็นเลิศด้านคุณภาพแรงงาน อันดับแรกไทย อันดับสองสิงคโปร์ อันดับสามจีน

.

ประเทศที่เป็นเลิศด้านความสามารถในการจัดการธุรกิจ อันดับหนึ่งสิงคโปร์ อันดับสองไทย อันดับสามจีน, ประเทศที่เป็นเลิศในด้านโอกาสการเติบโตทางการตลาด อันดับหนึ่งจีน อันดับสองไทย อันดับสามเวียดนาม, ประเทศที่เป็นเลิศในด้านผลตอบแทนการลงทุน อันดับหนึ่งจีน อันดับสองไทย อันดับสามสิงคโปร์ และประเทศที่เป็นเลิศด้านการส่งเสริมการลงทุน อันดับหนึ่งสิงคโปร์ อันดับสองไทย อันดับสามจีน

.

"สิ่งที่น่ายินดีสำหรับประเทศไทยในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน คือ นักธุรกิจ นักลงทุนชาวต่างชาติที่ได้มาสัมผัสประเทศไทยในช่วงเวลาสำรวจ พบว่า ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 1 และอันดับที่ 2 ในเรื่องดีๆ หลายด้านที่เกี่ยวข้องกับบรรยากาศการลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีน" นายนพดล กรรณิกา ผ.อ.ศูนย์วิจัยเอแบค ระบุ

.

แต่ทั้งนี้หากเป็นการสำรวจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองกลับพบว่าไทยยังติดอยู่ในอันดับต้นๆ ซึ่งไม่ถือเป็นสิ่งที่น่ายินดีนัก โดยผลการสำรวจประเทศที่มีความรุนแรงทางการเมือง พบว่าอันดับหนึ่งไทย อันดับสองพม่า อันดับสามอินโดนีเซีย ส่วนประเทศที่มีปัญหาด้านคอรัปชั่น พบว่าอันดับหนึ่งอินโดนีเซีย อันดับสองจีน และอันดับสามไทย

.

กลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติยังเสนอทางออกแก้วิกฤตการณ์ทางการเมืองไทยในปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่ 48.7% เห็นว่าต้องเป็นประชาธิปไตยโดยการเลือกตั้งใหม่ รองลงมาคือ การเจรจาประนีประนอม แก้ปัญหาคอรัปชั่น และปฏิรูปการเมือง เพื่อให้เป็นรัฐบาลที่ดีรับฟังเสียงของประชาชน ผลการสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้ มาจากนักธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยจำนวน 550 คน ทำการสำรวจตั้งแต่ 15 ก.ย.-8 ต.ค.51