เนื้อหาวันที่ : 2008-09-25 19:11:37 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1209 views

ม.หอการค้าฯห่วงทีมศก.รัฐบาลใหม่ฟื้นเชื่อมั่นยาก แนะจัดทีมที่ปรึกษาช่วย แนะเร่งเมกะโปรเจ็คต์

ม.หอการค้าฯ แนะรัฐบาลตั้งทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจขึ้นมาช่วยเหมือนกับรัฐบาลเรียกความเชื่อมั่นต่อการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจภารกิจเร่งด่วนที่รัฐบาลควรรีบดำเนินการเดินหน้าลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็คต์ เพื่อช่วยให้เอกชนกลับมาลงทุนและมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

ม.หอการค้าฯ แนะรัฐบาลตั้งทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจขึ้นมาช่วยเหมือนกับรัฐบาลเรียกความเชื่อมั่นต่อการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจภารกิจเร่งด่วนที่รัฐบาลควรรีบดำเนินการเดินหน้าลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็คต์ เพื่อช่วยให้เอกชนกลับมาลงทุนและมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

.

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แสดงความกังวลต่อความเชื่อมั่นในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ เพราะส่วนใหญ่รัฐมนตรีเศรษฐกิจจะเป็นนักการเมือง ขณะที่มีรัฐมนตรีจากคนนอกเพียงแค่นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี และนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง เท่านั้น

.

ทั้งนี้ รัฐบาลควรตั้งทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจขึ้นมาช่วยเหมือนกับรัฐบาลก่อนที่ให้นายวีระพงษ์ รามางกูร เป็นประธานที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ โดยให้เน้นเข้ามาดูแลงานกระทรวงการคลัง, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นต่อการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลได้ โดยภารกิจเร่งด่วนที่รัฐบาลควรรีบดำเนินการ คือ การเดินหน้าลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็คต์ เพื่อช่วยให้เอกชนกลับมาลงทุนและมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

.

นายธนวรรธน์ ยังคาดว่า วิกฤติทางการเงินของสหรัฐฯ ที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก จะทำให้การส่งออกไทยในปีหน้าชะลอตัวอย่างชัดเจน โดยคาดว่าทั้งปี 52 การส่งออกจะขยายตัวได้เพียง 8-10% จากปี 51 ที่คาดว่าจะขยายตัวสูงถึง 20% เนื่องจากประเทศคู่ค้าสำคัญทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรป(EU) และญี่ปุ่น มีแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวจนต้องชะลอการนำเข้า

.

"นอกจากการส่งออกที่ชะลอแล้ว การท่องเที่ยวก็จะได้ผลกระทบด้วย ปีหน้าการส่งออกจะไม่ใช่พระเอกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่น่าจะเป็นการบริโภคในประเทศมากกว่า ดังนั้นรัฐควรเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศโดยเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็คต์ เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และเร่งโปรโมทการท่องเที่ยว" ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ระบุ

.

พร้อมเห็นว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ควรดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 33.00-33.50 บาท/ดอลลาร์ เพื่อรักษาศักยภาพการแข่งขันให้ภาคเอกชน ขณะที่รัฐบาลควรเร่งกระตุ้นการลงทุนภาครัฐและเอกชนให้เพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันภาครัฐและเอกชนมีสัดส่วนการลงทุนรวมเพียง 22% ของ GDP ต่ำสุดในรอบ 10 ปี