บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เชื่อว่า แนวทางของกระทรวงพาณิชย์ที่เสนอให้ปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)สินค้าจำเป็น เพื่อลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อนั้น จะส่งผลดีต่อผู้บริโภคที่ทำให้ราคาสินค้าปรับลดลงในทันที แต่การลดอัตราภาษีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบตามมาต่อภาคการเงินการคลังได้

ทั้งนี้หากมีการปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่มลงทุกๆ 1% จะลดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปลงได้ 0.5-0.7% ดังนั้นหากมีการปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่มลง 4% เหลือ 3% จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงประมาณ 2.0-2.8% และทำให้เงินเฟ้อช่วงครึ่งปีหลังลงมาเหลืออยู่ที่ 6.5-7.5% จากเดิมที่คาดไว้ 8.5-9.5% และเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 51 อาจจะต่ำกว่า 7% ได้ รวมถึงทำให้เงินเฟ้อในเดือน ส.ค.51 ที่คาดว่าจะสูงขึ้นไปแตะระดับ 2 หลัก อาจจะอยู่ที่ 8.0-9.0%

อย่างไรก็ดี การลดภาษีอาจทำให้ปริมาณการใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้น แต่การขยายตัวของความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้โดยรวมแล้วราคาสินค้าจะไม่ปรับลดลงมากตามสัดส่วนของการปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะผู้ประกอบการอาจใช้เหตุผลนี้ในการผลักภาระต้นทุนที่เคยแบกรับไว้ก่อนหน้าไปให้ผู้บริโภค หลังจากที่เห็นว่าผู้บริโภคมีภาระค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากการปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังมองว่า การใช้มาตรการทางภาษีด้วยการปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่มนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อฐานะการคลังของรัฐบาล ซึ่งจะต้องประสบกับการขาดดุลงบประมาณมากขึ้นกว่าที่เคยประเมินไว้ รวมถึงกรณีที่รัฐบาลอาจจะยังมีแนวคิดในการปรับลดอัตราภาษีประเภทอื่นในอนาคตเพิ่มเติมด้วย ซึ่งล่าสุด นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวแล้ว

นอกจากนี้การลดภาษีมูลค่าเพิ่มยังจะส่งผลกระทบต่อภาคการเงิน เนื่องจากแนวโน้มการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อปริมาณสภาพคล่องในระบบ และทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินและสถาบันการเงินไม่ปรับตัวลดลงตามอัตราเงินเฟ้อทั่วไป