เนื้อหาวันที่ : 2008-07-25 10:56:55 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1180 views

ปตท. แจงผู้ค้ามาตรา 7 มีสิทธิ์นำเข้าแอลพีจีได้ทุกราย เพื่อช่วยเหลือประเทศ

จากกรณีที่ผู้ค้ามาตรา 7 บางรายไม่มีใครยอมนำเข้า ทำให้ ปตท. ต้องรับภาระส่วนต่างของราคานำเข้ากับราคาขายในประเทศแทนผู้ค้ามาตรา 7 แล้วกว่า 6,000 ล้านบาท ยืนยันทำหน้าที่บริษัทพลังงานแห่งชาติของคนไทยอย่างดีที่สุด โดยเฉพาะในยามที่ประเทศมีวิกฤติพลังงาน

ผู้ค้ามาตรา 7 บางรายไม่มีใครยอมนำเข้า ทำให้ ปตท. ต้องรับภาระส่วนต่างของราคานำเข้ากับราคาขายในประเทศแทนผู้ค้ามาตรา 7 แล้วกว่า 6,000 ล้านบาท ยืนยันทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้วทำหน้าที่บริษัทพลังงานแห่งชาติของคนไทยอย่างดีที่สุด  โดยเฉพาะในยามที่ประเทศมีวิกฤติพลังงาน

.

จากกรณีที่ผู้ค้ามาตรา 7 บางราย ให้ข่าวว่า ปตท. ควรเพิ่มศักยภาพ (Capacity) ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ และโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อขยายกำลังการผลิตก๊าซแอลพีจีให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ นั้น  นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  ชี้แจงว่า ปตท. ได้ดูแลหน่วยผลิตทุกหน่วยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดอยู่แล้ว โดยคำนึงถึงประชาชนและประเทศ  รวมทั้งได้ทำหน้าที่บริษัทพลังงานแห่งชาติของคนไทยอย่างดีที่สุด 

.

โดยเฉพาะในยามที่ประเทศมีวิกฤติพลังงาน  ซึ่งทำให้มีความต้องการใช้ก๊าซแอลพีจีในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดิมในปีที่ผ่านมา ประมาณ 3 ล้านตัน เพิ่มเป็น 3.5 ล้านตันในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นถึง 14.2% ซึ่งส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากการใช้ในรถยนต์ ถึง 22.7%  กระทรวงพลังงานจึงได้มอบหมายให้ ปตท. ดำเนินการนำเข้าก๊าซแอลพีจีแทนผู้ค้ามาตรา 7 ทุกราย เพื่อสำรองใช้และป้องกันการขาดแคลนในประเทศ 

.

ล่าสุดในเดือนกรกฏาคมนี้ ปตท. ต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีมาถึง  109,800 ตัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 37%  และยังมีภาระต้องนำเข้าตลอดทุกเดือนจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งคาดว่าปริมาณการนำเข้าจะประมาณ  60,000 – 100,000 ตัน / เดือน  ในขณะที่คลังเก็บสำรองผลิตภัณฑ์และท่าเทียบเรือของ ปตท. จ.ชลบุรี ที่มีศักยภาพดีที่สุด สามารถเก็บบรรจุก๊าซแอลพีจีได้ 32,000 ตัน ซึ่งเต็มขีดจำกัดของการรองรับในปริมาณดังกล่าว

.

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศเราเป็นการค้าเสรี กระทรวงพลังงาน ได้เปิดกว้างให้ผู้ค้าตามมาตรา 7 ทุกรายมีสิทธิ์ที่จะนำเข้าก๊าซแอลพีจี และควรช่วยเหลือประเทศในยามที่เกิดภาวะวิกฤตพลังงาน เพื่อให้มีก๊าซแอลพีจีเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ  ดังนั้นผู้ค้ามาตรา 7 ทุกบริษัทควรนำเข้าก๊าซแอลพีจีเพื่อดูแลลูกค้าของตนเอง

.

โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ ปตท. นำเข้าแทนแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่ ปตท. ที่จะต้องมาแบกภาระให้กับลูกค้าของผู้ค้ามาตรา 7 ซึ่งมีจำนวนสถานีบริการจำหน่ายก๊าซแอลพีจีมากที่สุด ไม่นับรวมถึงลูกค้ารายอื่นๆ ของผู้ค้ามาตรา 7 (ทั้งประเทศมีปั๊ม 444 แห่ง เป็นของ ปตท.เพียง 27 แห่ง เท่านั้น) การที่ให้ ปตท. รับภาระจากต้นทุนที่สูงขึ้นแทนประมาณกว่า 600 เหรียญสหรัฐต่อตัน

.

อนึ่ง นับตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงปัจจุบัน ปตท.นอกจากช่วยรับภาระแทนผู้บริโภคในส่วนที่ไม่ได้ปรับราคาน้ำมันขายปลีกขึ้นตามต้นทุน เป็นเงินกว่า 6,000 ล้านบาท และรับภาระขาดทุนจากการจำหน่ายก๊าซเอ็นจีวีต่ำกว่าต้นทุนแทนประชาชนประมาณกว่า 5,000 ล้านบาท แล้ว ปตท. ยังต้องรับภาระในส่วนของก๊าซแอลพีจีอีก รวมมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท อีกด้วย

.

ซึ่งหากประชาชนยังคงใช้ก๊าซแอลพีจีในปริมาณที่สูงมากเช่นนี้ ปีหน้าคาดว่าไทยคงต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีจากต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัน จึงขอให้ทุกฝ่ายใช้เชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับพาหนะและการใช้งาน รวมทั้ง คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยด้วย นายชัยวัฒน์ กล่าวตอนท้าย