เนื้อหาวันที่ : 2008-03-26 13:13:59 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1529 views

กฟผ.รณรงค์เครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 คาดปริมาณใช้ไฟช่วง peak ปีนี้โต 5-6%

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)จับมือภาคเอกชนลดราคาเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 ให้แก่ประชาชน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายให้มีการประหยัดพลังงานลง 20% จากการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศทั้งหมดถึงปีละ 4.5 แสนล้านบาท ภายในปี 54

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)จับมือภาคเอกชนลดราคาเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 ให้แก่ประชาชน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายให้มีการประหยัดพลังงานลง 20% จากการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศทั้งหมดถึงปีละ 4.5 แสนล้านบาท ภายในปี 54

.

"ให้เร่งรัดกระบวนการติดฉลากเบอร์ 5 ในทุกอุปกรณ์ทุกรายผ่านการกำกับทางกฎหมายหรือประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ปรับเพิ่มค่ามาตรฐานประสิทธิภาพอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ติดฉลากเบอร์ 5 ให้เพิ่มขึ้นอีก 5-10% ภายในปี 2555"พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รมว.พลังงาน กล่าว

.

กฟผ.ร่วมกับภาคเอกชนจัดทำโครงการ "555 ช่วยลดค่าใช้จ่ายคนไทย ร่วมใจลดภาวะโลกร้อน" เพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้เกิดการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 ในช่วงฤดูร้อน(เม.ย.-พ.ค.51) จำนวน 50,000 เครื่อง ซึ่งจะประหยัดพลังงานของประเทศประมาณ 24 ล้านหน่วยต่อปี หรือปีละ 72 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2)12,000 ตันต่อปี โดยช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และลดภาวะโลกร้อน

.

ด้านนายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า กฟผ.ได้ดำเนินการผลักดันให้เกิดอุปกรณ์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงภายใต้มาตรฐานฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 นับตั้งแต่ปี 36 ปัจจุบันมีจำนวน 7 ชนิด ซึ่งได้รับการยอมรับจากประชาชนเป็นอย่างดีตลอดมา ซึ่งการจัดกิจกรรมในปีนี้มีผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และพัดลม จำนวน 21 ราย ให้ส่วนลดราคาผลิตภัณฑ์เบอร์ 5 ลง 5% ของราคาซื้อรวม 98 รุ่น

.

นอกจากนี้ กฟผ.จะเร่งดำเนินการในส่วนมาตรการ Standby Power Loss 1 W ที่ให้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดกินไฟขณะปิดไม่เกิน 1 วัตต์ ให้แล้วเสร็จก่อนกรอบเวลาที่รัฐบาลกำหนดภายในปี 54 สำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด(Peak)ในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5-6% จากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 22,500 เมกะวัตต์ โดยในเดือน มี.ค.51 พีคอยู่ที่ 21,800 เมกะวัตต์

.

และในช่วงบ่ายวันนี้ รมว.พลังงานจะเรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อหามาตรการประหยัดพลังงานเพิ่มเติมทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง โดยจะนำมาตรการที่เคยใช้ในอดีตกลับมาใช้อีก เช่น การขับรถยนต์ด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม., การปิดไฟเมื่อใช้งานเสร็จแล้ว, ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสม เป็นต้น