เนื้อหาวันที่ : 2008-02-25 17:32:59 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1565 views

ปตท.กับ บางจาก ลงนามซื้อขายไฟฟ้า ไอน้ำและน้ำปราศจากแร่ธาตุ

รมต.พลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาการดำเนินโครงการผลิตสาธารณูปการ และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ไอน้ำและน้ำปราศจากแร่ธาตุ ระหว่าง ปตท.กับ บางจากปิโตรเลียม ใช้พลังงานก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วมลดการนำเข้าพลังงาน

พลโท หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาการดำเนินโครงการผลิตสาธารณูปการ และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ไอน้ำและน้ำปราศจากแร่ธาตุ ระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดย นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โดย ดร.อนุสรณ์แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่

.

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. เปิดเผยถึงสาระสำคัญของสัญญาฯ ว่า ปตท. จะเป็นผู้ลงทุนดำเนินโครงการผลิตสาธารณูปการ เพื่อผลิตจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับหน่วยผลิตของโรงกลั่นเดิมและรองรับการขยายโครงการ Hydro Cracking Unit ใหม่ของบางจาก โดยโรงไฟฟ้าจะใช้ระบบผลิตไฟฟ้าแบบพลังงานร่วม Combine Heated and Power (CHP)

.

ซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ประกอบด้วยเครื่องกังหันก๊าซฯ จำนวน 2 ชุด มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 25 เมกกะวัตต์ เครื่องผลิตไอน้ำจากไอเสีย (Heat Recovery Steam Generator) มีกำลังผลิต 90 ตันต่อชั่วโมง และได้เสริมสร้างความมั่นคงของระบบ โดยทำการติดตั้งหม้อไอน้ำสำรอง (Auxiliary Boiler) ขนาด 48 ตันต่อชั่วโมง ที่สามารถผลิตไอน้ำทดแทนได้ทันที

.

ในกรณีที่ต้องหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าฯ อย่างกระทันทัน เพื่อให้สามารถผลิตไฟฟ้าและไอน้ำสำหรับโรงกลั่นบางจากได้อย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา มีประสิทธิภาพในการผลิตรวมของระบบ CHP ประมาณ 80 % ทั้งนี้ หลังเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบ 25 ปี ปตท. จะโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินของโครงการฯ ให้บางจาก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2552 รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้นประมาณกว่าพันล้านบาท โดยบางจากจะรับผิดชอบในการจัดหาพื้นที่ให้ ปตท. สร้างและดำเนินการโรงไฟฟ้าได้ตลอดอายุโครงการฯ

.

ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากฯ (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้การก่อสร้างโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (Product Quality Improvement Project) หรือ PQI มีความคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 75 โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผนในปลายปี 2551นี้ ซึ่งเมื่อโครงการ PQI แล้วเสร็จ จะทำให้โรงกลั่นน้ำมันบางจากมีระบบการกลั่นเป็นแบบ Complex Refinery ด้วยเทคโนโลยี Hydro Cracking ที่ทันสมัยล่าสุด สามารถผลิตน้ำมันเบนซินและดีเซลที่มีมูลค่าสูงในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น รองรับความต้องการใช้ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯมีรายได้มากขึ้น

.

ซึ่งเมื่อโครงการผลิตสาธารณูปการดังกล่าวเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับโรงกลั่นบางจากได้ นอกจากจะช่วยเพิ่มความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของบริษัทฯ ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงปีละ 200-300 ล้านบาท ทั้งนี้รวมมูลค่าการซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำของโครงการนี้ ประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี

.

พลโท หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า วันนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่ทั้ง 2 หน่วยงาน ภายใต้สังกัดกระทรวงพลังงาน ได้ร่วมมือกันในการดำเนินโครงการผลิตสาธารณูปการ ด้วยการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ไอน้ำและน้ำปราศจากแร่ธาตุ เนื่องจากโครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้กับการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันในประเทศ และช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศ จากการขยายประโยชน์การใช้ก๊าซธรรมชาติในลักษณะ CHP ที่สามารถใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพส่งผลให้ประเทศสามารถประหยัดเงินตราจากการนำเข้าพลังงานได้ทางหนึ่ง

.

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีความต้องการใช้พลังงานในลักษณะ CHP ทั้งในภาคอุตสาหกรรม (โรงงานอุตสาหกรรม / โรงกลั่น) และพาณิชย์กรรม (อาคารขนาดใหญ่ และสนามบิน) ซึ่งหากสามารถขยายการใช้พลังงานในลักษณะ CHP ได้อย่างต่อเนื่องก็จะเป็นการช่วยให้ประเทศประหยัดค่าพลังงานโดยรวมในรูปของการลดปริมาณความต้องการไฟฟ้าสูงสุด, ลดการลงทุนในระบบสายส่งรวมทั้งการสูญเสียพลังงานจากระบบสายส่ง (Transmission loss) ได้อีกทางหนึ่งด้วย