การเคลื่อนย้ายของทุนเกิดขึ้นราวปลายทศวรรษที่ 80 ครับ กลุ่มทุนจากญี่ปุ่นเริ่มเคลื่อนย้ายฐานการลงทุนมายังดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะไทย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ด้วยเหตุนี้เองทศวรรษที่ 90 จึงกลายเป็นทศวรรษที่ขับเคลื่อนให้ประเทศเหล่านี้ก้าวเข้าสู่ระบบทุนนิยมอย่างเต็มตัวก่อนจะมาสะดุดหยุดลงเมื่อคราวเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินเอเชียเมื่อปี ค.ศ.1997
ทุกวันนี้ดูเหมือนแกนของโลกเศรษฐกิจจะเอียงเอนมายังประเทศที่กำลังพัฒนามากขึ้นนะครับ เหตุผลอย่าง
|
. |
. |
การเคลื่อนย้ายของทุนดังกล่าวเกิดขึ้นราวปลายทศวรรษที่ 80 ครับ โดยกลุ่มทุนจากญี่ปุ่นได้เริ่มเคลื่อนย้ายฐานการลงทุนมายังดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะประเทศไทย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ด้วยเหตุนี้เองทศวรรษที่ 90 จึงกลายเป็นทศวรรษที่ขับเคลื่อนให้ประเทศเหล่านี้ก้าวเข้าสู่ระบบทุนนิยมอย่างเต็มตัวก่อนจะมาสะดุดหยุดลงเมื่อคราวเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินเอเชียเมื่อปี ค.ศ.1997 |
. |
เมื่อปี ค.ศ.2003 มีรายงานชิ้น
|
.. |
ด้วยความที่ประเทศทั้งสี่นั้นเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ มีพลเมืองมากมาย ซึ่งสะท้อนถึงทรัพยากรที่เพียงพอต่อการพัฒนาในอนาคตประกอบกับอำนาจซื้อภายในมหาศาลปัจจัยเหล่านี้ได้กลายเป็นเครื่องขับเคลื่อนประเทศทั้งสี่ภายใต้ทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ไปโดยปริยาย |
. |
ด้วยเหตุนี้เองนักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sach จึงมองว่ากลุ่ม BRIC นี้จะกลายเป็น “ยักษ์เศรษฐกิจตัวจริง” ในศตวรรษที่ 21 |
. |
อย่างไรก็ตามดูเหมือนจีนและอินเดียนั้นได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วครับว่ายักษ์ที่เพิ่งตื่นนั้นเป็นเช่นไร โดยเฉพาะ จีน นั้นโดดเด่นถึงขนาดถูกทำนายว่าจะเป็น เจ้าโลกเศรษฐกิจ รายต่อไป อัตราการจำเริญเติบ
|
. |
คนบัญญัติศัพท์คำนี้คือ นาย Jairam Ramesh นักเศรษฐศาสตร์ชาวอินเดียซึ่ง ปัจจุบัน Ramesh เป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย ครับ Ramesh แกบอกไว้ว่าโลกในอนาคตทั้งจีนและอินเดียจะผนึกกำลังกันสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจโดยจีนใช้ความได้เปรียบในเรื่องการผลิต Hardware ส่วนอินเดียก็จะพัฒนาเรื่อง Software ไป |
. |
Jairam Ramesh นักการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์ชาวอินเดีย ผู้คิดคำว่า Chindia ขึ้นมาซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจยุคใหม่ที่นำโดยจีนและอินเดีย (ภาพจาก http://www.tradefairofindia.com/images/jairam_ramesh.jpg) |
. |
และนี่คือ มหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ ที่กำลังก้าวเข้ามาแทนสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศอียู ขณะที่อีกสองประเทศในกลุ่ม BRIC นั้นกำลังเป็นยักษ์ที่ถูกปลุกให้ตื่นเป็นรายต่อไปโดยยักษ์ตนใหม่ที่เราจะพูดถึงในครั้งนี้ คือ บราซิล ครับ |
. |
"บราซิล" ยักษ์ที่เพิ่งตื่นในศตวรรษที่ 21 |
เมื่อพูดถึง บราซิล สิ่งแรกที่เราจะนึกถึงคือ แชมป์ฟุตบอลโลก 5 สมัย นอกจากนี้อาจพลอยนึกไปถึง เปเล่, ซิโก้, โรมาริโอ, โรนัลโด้, โรนัลดินโญ่ และกาก้า เป็นต้น อย่างไรก็ตามบราซิลไม่ได้มีดีแค่ฟุตบอลอย่างเดียวนะครับ เพราะในโลกเศรษฐกิจแล้วบราซิล คือ ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลกและเป็นอันดับ
|
. |
บราซิลนั้นเป็นเคยเป็นประเทศอาณานิคมของโปรตุเกสมาก่อนครับและประกาศเอกราชเมื่อปี ค.ศ.1822 และเปลี่ยนตัวเองมาเป็นสาธารณรัฐ (Republic) เมื่อปี ค.ศ.1889 ปัจจุบันบราซิลมีนาย Luiz Inácio Lula da Silva หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "ลูล่า" (Lula) นักการเมืองฝ่ายซ้ายของพรรคแรงงานเป็นประธานาธิบดีปกครองประเทศครับ |
. |
บราซิลมีขนาดพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกครับเช่นเดียวกันกับจำนวนประชากรประมาณ 184 ล้านคน อย่างไรก็ตามทั้งขนาดพื้นที่กว้างใหญ่และจำนวนประชากรที่มากมายนี้ทำให้บราซิลมีปัญหาในแง่การจัดสรรทรัพยากรตลอดจนถูกเอารัดเอาเปรียบจากประเทศที่เจริญกว่าทั้งเจ้าอาณานิคมอย่างโปรตุเกสหรือแม้กระทั่งเพื่อนบ้านในทวีปอเมริกาอย่าง "สหรัฐ" ที่จ้องหาแต่ประโยชน์จากประเทศในแถบลาตินในรูปแบบต่าง ๆ |
. |
ปัญหาของบราซิลจึงมีลักษณะไม่แตกต่างจากประเทศในกลุ่มลาตินอย่าง อาร์เจนติน่า อุรุกวัย โคลัมเบีย เป็นต้น อย่างไรก็ตามจุดแข็งของบราซิลอยู่ที่ความสมบูรณ์ของทรัพยากรโดยเฉพาะป่าไม้และพลังงาน ครับ |
. |
สินค้าส่งออกของบราซิลที่สำคัญนั้นมีหลากหลาย ทั้งภาคเกษตรอย่างกาแฟอันเลื่องชื่อ อ้อยสำหรับผลิตน้ำตาล รวมไปถึงอุตสาหกรรมพื้นฐานอย่างการถลุงเหล็ก เหมืองแร่ ไปจนกระทั่งอุตสาหกรรมชั้นสูงอย่างต่อเรือดำน้ำและสร้างเครื่องบิน จะเห็นได้ว่าบราซิลสามารถทำได้หมดครับไม่แพ้สหรัฐอเมริกาเลย |
. |
นอกจากนี้ในภาคการเงินนั้นเมืองอย่าง ซานเปาโล (San Paolo) และ คูริติบา ( |
. |
เมืองซานเปาโล ศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในบราซิล (ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Image:CENU_commercial_complex.jpg) |
. |
อย่างที่เรียนท่านผู้อ่านไปตอนต้นแล้วครับว่าสภาพปัญหาเศรษฐกิจของบราซิลนั้นก็ไม่ได้ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านในลาตินเท่าไร ทั้งนี้เหตุผล
|
. |
หลังทศวรรษที่ 90 เป็นต้นมาบราซิลภายใต้การนำของรัฐบาลพลเรือนของ นาย Fernando Collor de Mello ก็เริ่มนำพาบราซิลเข้าสู่คลื่นโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจแต่ดูเหมือนเมื่อเริ่มเหยียบเข้าสู่กระแสโลกาภิวัฒน์อันเชี่ยวกรากนั้นบราซิลต้องเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์เงินเฟ้ออย่างรุนแรง (Hyperinflation) เป็นปัญหาแรก ทั้งนี้ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นผลพวงมาจาการปกครองของเผด็จการทหารที่ขาดวินัยทางการคลังจนทำให้ประเทศต้องเผชิญหายนะทางการเศรษฐกิจในที่สุด |
. |
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้บราซิลต้องปรับตัวขนานใหญ่ด้วยการปฏิรูประบบเศรษฐกิจตั้งแต่วางแผนรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจกันใหม่ ผ่อนคลายข้อจำกัดในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กับภาคเอกชน ส่งเสริมบรรยากาศการแข่งขันทั้งในแง่ของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เป็นต้น |
. |
The |
ปี ค.ศ.1994 นั้นนอกจากจะเป็นปีที่บราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 4 ได้บนแผ่นดินอเมริกาแล้ว บราซิลยังได้ประกาศแผนการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า The Plano Real ครับ สำหรับชื่อนี้เรียกตามภาษาโปรตุกีส มีความหมายว่า Real Plan หรือ แผนที่แท้จริงทำนองนั้น |
. |
The Plano Real เป็นแนวคิดของ นาย Fernando Henrique Cardoso ซึ่งเป็นรัฐมนตรีคลังในสมัยรัฐบาลนาย Itamar Franco ซึ่งนาย Cardoso นั้นจัดเป็นปัญญาชนหัวก้าวหน้าคนหนึ่งของบราซิล โดยเป้าหมายสำคัญที่จะทำให้บราซิลสามารถฟื้นจากปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงได้นั้นรัฐต้องพยายามรักษาเสถียรภาพของระดับราคาให้ได้ก่อนซึ่งการจะรักษาเสถียรภาพของราคาได้นั้นต้องใช้การอ้างอิงระบบอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐด้วย |
. |
ดังนั้นในเบื้องต้นรัฐบาลบราซิลได้พยายามโค้ดราคาสินค้าเป็น เงินคูไซโรลีร์ ของบราซิลพร้อม ๆ กับเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งรู้จักกันในนาม Unidade Real de Valor อย่างที่เรารู้กันว่าเงินเฟ้อรุนแรงนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นแทบจะทุก ๆ นาที อย่างกรณีของบราซิลที่เผชิญอยู่ช่วงทศวรรษที่ 90 นั้นเป็นการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าแบบรายวัน ด้วยเหตุนี้การนำเงินดอลลาร์มาผูกถ่วงกับราคาสินค้าที่คิดเป็นเงินท้องถิ่นแล้วก็มีส่วนดึงไม่ให้สินค้าพุ่งสูงมากไปกว่าที่เป็นอยู่ |
. |
นับตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 เป็นต้นมาความกังวลเรื่องเงินเฟ้อรุนแรงในบราซิลดูจะหมดไปเพราะระดับเงินเฟ้อเฉลี่ยดูเหมือนจะเอาอยู่และคุมได้ในระดับ 5–12 % ซึ่งปี ค.ศ.2006 เงินเฟ้อในบราซิลต่ำสุดในรอบหลายรอบหลายสิบปี คือ อยู่ที่ 3.14 % ครับ ส่วน
|
. |
Fernando Henrique Cardoso อดีตรัฐมนตรีคลังผู้เสนอแผน The จนทำให้บราซิลพ้นจากปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงได้ในที่สุด ภายหลัง Cardoso ได้กลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 35 ของบราซิล ปกครองประเทศตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 – 2003 (ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Fernando_Henrique_Cardoso#Awards) |
. |
บทส่งท้าย: เหลียวมองตัวเรา |
ผู้เขียนเชื่อว่าทุกประเทศล้วนแล้วแต่ต้องเผชิญความยากลำบากกับปัญหาเศรษฐกิจกันไม่มากก็น้อยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ กึ๋น การบริหารเศรษฐกิจมหภาคของผู้นำประเทศเหล่านั้นว่ามีมากน้อยแค่ไหน |
. |
ปัจจุบันเราต้องยอมรับนะครับว่า “ปัญหาเศรษฐกิจหรือปัญหาปากท้องการทำมาหากิน” คือ เรื่องที่ประชาชนใช้เป็นเกณฑ์การตัดสินใจอันดับแรกในการเลือกรัฐบาลของพวกเขา บราซิล เป็นตัวอย่างที่ดีประเทศหนึ่งที่ชี้ให้เห็นสติปัญญาของผู้นำชาติในการฟันฝ่าปัญหาเศรษฐกิจและนำพาประเทศให้พัฒนาตามศักยภาพที่ตนเองมีได้ |
. |
ปัจจุบัน บราซิล กำลังกลายเป็นอีกหนึ่งประเทศที่หลายชาติอาจจำต้อง ยำเกรง นอกเหนือจากทีมฟุตบอล เพราะ บราซิล คือ ประเทศที่ผลิตแหล่งพลังงาน “เอทานอล” ที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ เอทานอลดังกล่าวมาจากผลผลิตส่วนที่เหลือจากอุตสาหกรรมน้ำตาล นอกจากนี้บราซิลยังมีเขื่อนพลังงานน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Itaipu Dam ซึ่งสามารถสนับสนุนกำลังการผลิตอุตสาหกรรมตลอดจนรองรับการบริโภคพลังงานไฟฟ้าของชาวบราซิลได้อย่างเหลือเฟือ |
. |
ทุกวันนี้บราซิลยังส่งเสริมและพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีได้จนสามารถผลิตเครื่องบินส่งออกขายต่างประเทศได้ นอกจากนี้บราซิลยังวางยุทธศาสตร์การพัฒนา I.T. คล้ายจีนและอินเดียเนื่องจากมองว่ามีศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ที่ใกล้เคียงกันว่ากันว่าบราซิลพยายามพัฒนา เมือง |
. |
ท้ายที่สุดดูเหมือนว่า บราซิล น่าจะก้าวไปได้ไกลกว่าหลายประเทศในแถบลาตินอเมริกาด้วยความที่เป็นเหมือนลูกพี่ใหญ่ในดินแดนแถบนี้อีกทั้งยังมีทรัพยากรทางธรรมชาติและทรัพยากรมนุษย์ที่เอื้อต่อการพัฒนาจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมนักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sach ได้ทำนายว่าบราซิลจะกลายเป็นหนึ่งในสี่ประเทศที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในปี ค.ศ. 2050 ครับ |
. |
เอกสารประกอบการเขียน |
1.Baer, Werner. The Brazilian Economy: Growth and Development. 5th.
2.ภาพประกอบจาก www.wikipedia.org |