เนื้อหาวันที่ : 2017-09-13 10:56:41 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1327 views

นายกฯ รับคณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจฯ ญี่ปุ่น พร้อมชูศักยภาพ EECi หวังญี่ปุ่นเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ พร้อมลั่นญี่ปุ่นเลือกลงทุนในไทยไม่ผิดหวังแน่!!!

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ Hiroshige Seko รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) พร้อมด้วยหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ และคณะนักลงทุนรายใหญ่กว่า 570 รายจากประเทศญี่ปุ่น เนื่องในโอกาสที่ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศได้ดำเนินมาสู่ปีที่ 130 พร้อมเผยญี่ปุ่นยังเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ย้ำปีนี้การเมืองไทยมั่นคงที่สุดในรอบ 10 ปี การพบกันครั้งนี้ยังได้ผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 และ Connected Industries ไปสู่นโยบาย Thailand 4.0 Towards Connected Industries เพื่อจับมือร่วมกันในการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจต่อเนื่องถึงการส่งเสริมการเปิดเสรีการค้าและการลงทุน การพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายและผู้ประกอบการ SMEs ตลอดจนการยกระดับพื้นที่ EEC (Eastern Economic Corridor) ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) ไปสู่ EECi (Eastern Economic Corridor of Innovation) ที่มีจุดเด่นในด้านนวัตกรรม ความทันสมัย ตลอดจนเต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม

ทั้งนี้ ยังได้กำหนดแผนการลงทุนเพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมในระยะเวลา 5 ปีระหว่างกรุงเทพฯ – EEC และเชื่อมสู่ภูมิภาคทั่วประเทศด้วยโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาให้รองรับผู้โดยสารจาก 3 ล้านคนเป็น 60 ล้านคนต่อปีภายในปี 2575 การก่อสร้างทางหลวงต่าง ๆ ในส่วนที่ยังขาดหายให้ครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตลอดจนเตรียมแก้ไขกฎหมาย การเพิ่มสิทธิประโยชน์บางประการเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนในประเทศ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ให้ไทยมากขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าในบรรดาชาติพันธมิตรลำดับต้น ๆ ของไทยนั้น ญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นมิตรแท้ที่มีบทบาทและเป็นต้นแบบในหลายด้านที่สำคัญต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นภาคเศรษฐกิจ การเมือง อุตสาหกรรม ตลอดจนการค้าและการลงทุน สำหรับในปี 2560 ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการทูตของทั้ง 2 ประเทศได้ดำเนินมาถึงปีที่ 130 ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของทั้งสองชาติเนื่องจากต่างฝ่ายต่างอยู่ในช่วงของภาวะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวน่ายินดีที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเติบโตมากที่สุดในรอบ 2 ปี เป็นผลต่อเนื่องให้เกิดการกระตุ้นการใช้จ่าย การลงทุน ตลอดจนการผลักดันนโยบายอาเบะโนมิกส์และ Connected Industries ทั้งสองนโยบายดังกล่าวจะเชื่อมโยงมาสู่ยุทธศาสตร์การส่งเสริมกลุ่มประเทศ CLMVT การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC รวมทั้งนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งจะทำให้เกิดการร่วมมือและขับเคลื่อนทั้งสองประเทศไปสู่อนาคตอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับการเดินทางมาเยือนประเทศไทยของ Hiroshige Seko รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น หน่วยงานส่งเสริมเศรษฐกิจ และคณะนักลงทุนรายใหญ่ของญี่ปุ่นกว่า 570 รายในครั้งนี้นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ความพยามในการผลักดันมาตรการต่าง ๆ จากภาครัฐของไทย เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีความชัดเจนและเห็นผลที่เป็นรูปธรรมหลายประการ สิ่งที่เกิดขึ้นได้ทำให้ชาวโลกได้เห็นถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ต่อเนื่องถึงทัศนคติและความเชื่อมั่นต่อยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการพัฒนาและสร้างความเชื่อมั่นทางการเมืองของประเทศที่เห็นผลแล้วว่าในระยะ 10 ปีที่ผ่านมานี้มีความมั่นคงมากที่สุด ซึ่งยังมั่นใจว่าหลังจากนี้ภาคอื่น ๆ ที่สำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างของประเทศจะเกิดสัญญาณที่ดีขึ้นตามมาและเห็นผลเป็นรูปธรรมในไม่ช้าอีกแน่นอน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเพิ่มเติมว่าในการเชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ ยังคงยึดแม่เหล็กใหญ่คือนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นสำคัญ หลักการดังกล่าวนั้นสามารถเชื่อมโยงและร้อยเรียงกับนโยบาย Connected Industries ของประเทศญี่ปุ่นให้เกิดความสอดคล้องและเติมเต็มระหว่างกัน นำไปสู่ยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 Towards Connected Industries ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งนี้ การเชื่อมต่อของทั้งสองนโยบายจะเริ่มต้นที่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ ครอบคลุมทั้งด้านเสรีการค้า การส่งเสริมการลงทุน การพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และผู้ประกอบการ SMEs ของทั้งสองประเทศ โดยปัจจัยทั้งหมดนี้ยังจะช่วยยกระดับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของไทยให้เป็นแลนด์มาร์คของแหล่งอุตสาหกรรมที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย

นอกจากนี้รัฐบาลยังมีแผนงานการลงทุนเพื่อยกระดับและพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมหรือ EECi ที่มีจุดเด่นด้านความเป็นเมืองนวัตกรรมที่เป็นต้นแบบของการพัฒนางานวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในลักษณะองค์รวม มีการใช้ทรัพยากรร่วมกันเพื่อก่อประโยชน์สูงสุดด้วยการรวมศูนย์ห้องปฏิบัติการ สนามทดสอบนวัตกรรม ศูนย์รับรองมาตรฐานนวัตกรรมทางด้านระบบและอุปกรณ์อัจฉริยะ โดยจัดตั้งเป็นเขตทดสอบนวัตกรรมอัจฉริยะของประเทศที่ผ่อนปรนกฎระเบียบที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการคิดค้นนวัตกรรม

รัฐบาลได้กำหนดแผนการลงทุนพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งภายใต้โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกในระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2560 – 2564) เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งสินค้าระหว่างกรุงเทพฯ กับภาคตะวันออก รวมทั้งเชื่อมสู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เป็นประตูสู่เมียนมา เวียดนาม สปป.ลาว กัมพูชา และจีนตอนใต้ ซึ่งประกอบด้วยโครงการสำคัญ ๆ ได้แก่

  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ในระยะ 5 ปีแรกจะเพิ่มขีดความสามารถให้รองรับผู้โดยสารจาก 3 ล้านคนเป็น 5 ล้านคนต่อปี และ 60 ล้านคนภายในปี 2575
  • โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางและการขนส่ง
  • โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เพื่อรองรับความต้องการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศในอนาคต
  • โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของสาธารณูปโภคหลักในการรองรับการขนส่งสินค้าเหลว ก๊าซธรรมชาติ และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
  • โครงการพัฒนาท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ
  • โครงการก่อสร้างถนนมอเตอร์เวย์ 3 เส้นทาง
  • ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน (OSS : One Stop Service) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย


นอกจากนี้เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนในประเทศ รัฐบาลยังได้แก้ไขกฎหมายการส่งเสริมการลงทุนและออกมาตร“การเพื่อเร่งรัดการลงทุนเพิ่มเติม ตลอดจนเพิ่มสิทธิประโยชน์ การอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนอีกเป็นจำนวนมากเพื่อหวังให้เกิดการลงทุนรูปแบบใหม่ ๆ ตลอดจนการส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการลงทุนต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยยังตั้งเป้าให้มีการถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนในอุตสาหกรรมเดิมและอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ ยานยนต์ อากาศยาน เครื่องมือแพทย์ Green Technology ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้จะอัปเกรดให้ทุกอย่างอยู่ภายใต้คอนเซปต์ “สมาร์ท” เพื่อให้ความก้าวล้ำเกิดขึ้นอย่างทั่วถึง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปิดท้าย

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้การต้อนรับคณะผู้เดินทางจากญี่ปุ่น ณ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วย Hiroshige Seko รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ผู้บริหารระดับสูงทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ อธิบดีกรมนโยบายการค้า ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JETRO) ประธานองค์การสนับสนุน SMEs แห่งประเทศญี่ปุ่น (SMRJ) ผู้บริหารบริษัท อายิโน๊ะโมโต๊ะ คูโบต้าคอร์ปอเรชั่น มิตซุยซูมิโตโม่อินชัวรันส์ พร้อมหยิบยกประเด็นหารือในการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น การร่วมมือในการพัฒนายานยนต์แห่งอนาคต อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ

นอกจากนี้นักลงทุนญี่ปุ่นยังได้สอบถามนายกรัฐมนตรีถึงความคาดหวังจากผู้ประกอบการญี่ปุ่นในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับ SMEs ไทย พร้อมทั้งได้ยกตัวอย่างบทบาทสำคัญของ SMEs ในญี่ปุ่นที่มีเทคโนโลยีและความชำนาญล้ำสมัยที่จะช่วยในการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมและกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นของประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ยังได้กล่าวแสดงความชื่นชมในวิสัยทัศน์อันยาวไกลและกว้างขวางของผู้นำด้านเศรษฐกิจและนักลงทุนของญี่ปุ่นที่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย พร้อมทั้งได้สร้างความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยและคนไทยจะไม่ทำให้นักลงทุนชาวญี่ปุ่นเกิดความผิดหวังอย่างแน่นอน

ในช่วงค่ำสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังได้นำคณะผู้เดินทางจากญี่ปุ่นร่วมกิจกรรมสร้างเครือข่ายธุรกิจกับนักลงทุนไทย (Business Networking Reception) ร่วมรับประทานอาหารค่ำ พร้อมกับรับชมการแสดงวัฒนธรรมไทยและญี่ปุ่นเนื่องในโอกาสครบรอบ 130 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น โดยมีสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับพร้อมกล่าวอวยพร ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี