เนื้อหาวันที่ : 2017-08-24 14:46:08 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2000 views

SAGE เพิ่มความสามารถการใช้เทคโนโลยีให้ SMEs ไทยช่วยผลักดัน Thailand 4.0

ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อภาพรวมของเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต แต่ปัจจุบัน SMEs ไทยกำลังตกอยู่ในกับดักของประเทศผู้มีรายได้ระดับกลาง (Middle-income Trap) ข้างล่างต้องแข่งขันกับ SMEs ของประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่า ที่ผลิตสินค้าที่มีราคาถูกซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน (อย่างเช่น ประเทศกัมพูชาและเวียดนาม) ขณะเดียวกัน SMEs ของไทยไม่สามารถก้าวผ่านขึ้นไปสู่การผลิตสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรมและมูลค่าสูง (ดังเช่น SMEs ในประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้และไต้หวัน )

รัฐบาลของประเทศไทยพยายามให้ความช่วยเหลือ โดยการพัฒนา Thailand 4.0 Model ขึ้นมาเพื่อสร้างสังคมที่มีรากฐานอยู่บนความรู้ (Knowledge-based Society) เพื่อประโยชน์ของประชาชนทุก ๆ คนในประเทศ Thailand 4.0 มีเป้าหมายที่จะผลักดันประเทศให้ข้ามพ้นการตกอยู่ในกับดักของประเทศผู้มีรายได้ระดับกลางที่ประเทศไทยย่ำอยู่กับที่มานานนับทศวรรษแล้ว  เพื่อเร่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จะต้องพยายามก้าวพ้นการพึ่งพิงการใช้ทรัพยากรแรงงานไร้ฝีมือ ที่ได้ค่าจ้างต่ำ และต้องทำงานหนัก ไปสู่การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้สามารถที่ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่นำด้วยนวัตกรรม

Robin Chao

Vice President and Managing Director

SAGE ASIA

 

ศักยภาพที่สูงขึ้นด้วยการใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation)

ตามรายงานการศึกษาล่าสุดของสถาบัน McKensey Global เรื่อง “A Future that Works: Automation , Employment and Productivity” (การทำงานในอนาคต : การผสมผสานกันของระบบอัตโนมัติ การจ้างงานและผลิตภาพ) ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยสามารถได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นมหาศาลจากการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้  ตามรายงานการศึกษาจาก 46 ประเทศซึ่งมีกำลังแรงงาน (Workforce) คิดรวมกันเป็น  80 % ของโลก และตรวจสอบศักยภาพในการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในประเทศเหล่านั้น  อะไรจะเกิดขึ้นถ้านำเทคโนโลยีมาปรับ รวมทั้งศักยภาพที่จะเกิดขึ้นจากนำเทคโนโลยีคล้าย ๆ กันหรือต่างมาปรับใช้ในอนาคต

ผลโดยรวมแสดงให้เห็นว่า ระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศที่ถูกศึกษา ตั้งแต่บราซิล อินเดียไปจนถึงซาอุดิอาระเบีย จะได้รับผลิตภาพสูงขึ้นมากจากการนำระบบหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้ ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับสองของโลกที่จะสามารถเพิ่มศักยภาพสูงขึ้นมากที่สุดจากการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ (54.6%)

ประเทศไทยควรจะทุ่มเทในการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้เพราะว่ามันสามารถทำให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยการช่วยลดความผิดพลาด เพิ่มคุณภาพและความเร็วในการผลิต มีหลาย ๆ ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่กำลังเกิดขึ้นว่ามันมีความสามารถเกินความสามารถของมนุษย์ ดังเช่นการช่วยวิเคราะห์วินิจฉัยโรคอย่างแม่นยำ

ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในขณะนี้  มีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่จะเร่งนำระบบอัตโนมัติมาใช้ให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะจากงานศึกษาของ McKinsey ฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่าระบบอัตโนมัติจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นพยัคฆ์ติดปีก มีเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำสมัยเหนือคู่แข่งทั้งหลาย

ระบบอัตโนมัติจะสามารถช่วยผลักดันให้ระบบเศรษฐกิจของไทยขยายตัวและประชาชนมีรายได้สูงขึ้น หลุดพ้นไปจากการเผชิญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเชื่องช้าในทุกวันนี้

คำถามที่สำคัญอย่างมาก ที่จะต้องพยายามตอบให้ได้ คือ เราจะได้ประโยชน์จากโอกาศนี้ได้อย่างไร ? ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่ประเทสไทยกลับยังอยู่อีกไกลจากเป้าหมายการบรรลุตามวิสัยทัศน์ดิจิตอล (digital vision) ของรัฐบาล มีตัวเชื่อมโยงอะไรที่ขาดหายไป (Missing Link)

สร้างประโยชน์จากโอกาสการเป็น Thailand 4.0

Sage ในฐานะผู้นำในการสร้างธุรกิจทั้งระดับท้องถิ่นและระดับโลก เชื่อว่าการสร้างธุรกิจในระดับท้องถิ่นจำเป็นต้องมุ่งมั่นที่จะทำความเข้าใจ ปรับประยุกต์ใช้และสร้างนวัตกรรมโดยการใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วย รัฐบาลไม่สามารถทำการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจได้ด้วยตัวรัฐบาลเอง แต่ต้องพึ่งพา SMEs ในท้องถิ่นที่มีความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีมาใช้ด้วย

SMEs สามารถช่วยรัฐบาลผลักดันวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 ได้โดยเริ่มมองที่ตัวเองในฐานะเป็นบริษัทที่พร้อมจะยอมรับการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างเช่นการนำเทคโนโลยีคลาวด์ (Cloud) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เข้ามาใช้เพื่อความอยู่รอดและความสำเร็จของตน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจในอุตสาหกรรมใด ๆ จำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงผลกระทบของเทคโนโลยีและนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์

ขณะที่บางธุรกิจมองว่าเทคโนโลยีเป็นภัยคุกคาม ผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาศที่เกิดขึ้นนี้และเข้าใจถึงการที่เทคโนโลยีเปิดทางให้พบแหล่งทรัพยากรข้อมูลใหม่ ๆ และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเติบโตทางธุรกิจของตน จะสามารถก้าวแซงหน้าเหนือคู่แข่ง

เทคโนโลยี 2 ประการที่ทุกธุรกิจต้องตระหนักและพยายามนำมาใช้ประโยชน์

1. ระบบคลาวด์ (Cloud)

เมื่อพูดถึงคลาวด์ มีความเข้าใจผิดกันทั่วไปว่าเป็นระบบที่เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น  แต่ในความเป็นจริงแล้วในการนำระบบคลาวด์เข้ามาใช้เป็นกลยุทธทางธุรกิจ ธุรกิจในทุก ๆ ขนาดจะสามารถได้ประโยชน์จากระบบคลาวด์ ทำให้ปรับตัวและตามทันการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างรวดเร็วในปัจจุบัน

ระบบคลาวด์ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กได้ประโยชน์จากการที่ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นบริการ (Anything as a Service : XaaS) ธุรกิจขนาดเล็กสามารถได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงบริการต่าง ๆ อย่างเช่น โครงสร้างพื้นฐานทางไอที แพลตฟอร์ม ซอฟต์แวร์และความปลอดภัยโดยการซื้อจากผู้ให้บริการ  ลดความจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องโฮสต์ (Host) ของตัวเอง (รวมทั้งทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานและระบบอื่น ๆ เป็นของตัวเอง) โดยการเปลี่ยนไปซื้อเป็นบริการเมื่อต้องการใช้ (On-demand) แทน ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ดีขึ้นและสามารถเติบโตโดยไม่สดุดด้วยการใช้บริการระบบคลาวด์ ที่สำคัญสามารถเปลี่ยนค่าใช้จ่ายในการลงทุน (Capital Expenditures: Capex) ให้กลายเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operational Expenditures : Opex) และปลดปล่อยเงินลงทุนให้นำไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจได้มากขึ้น

SMEs สามารถเริ่มนำระบบคลาวด์มาใช้ทำบ้างระบบให้มีความเป็นอัตโนมัติก่อนอย่างเช่นการทำใบเสนอราคาและการทำใบแจ้งหนี้เพื่อประหยัดต้นทุนลง แสดงถึงความเป็นมืออาชีพต่อหน้าลูกค้าและทำให้พนักงานมีเวลามากขึ้นในการไปทำงานที่มีคุณค่าให้แก่ธุรกิจมากขึ้น เจ้าของกิจการควรจะมุ่งมองเฉพาะเรื่องที่ทำให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น อย่างเช่นการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการบริการลูกค้าแทนที่จะมาเสียเวลาวิตกกังวลกับเรื่องการทำบัญชี เพราะว่าปัจจุบันมีระบบบัญชีหลาย ๆ โซลูชั่นที่สามารถทำออนไลน์ได้ (อย่างเช่น Sage One) ซึ่งทำให้งานทางบัญชีเป็นเรื่องง่าย ๆ สำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักบัญชีอีกต่อไป

ประโยชน์ที่จะได้ในปัจจุบันไม่ใช่แต่เพียงความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นและเป็นสิ่งที่ดีที่ใคร ๆ ก็มี แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นกับ SMEs เพราะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการทำให้สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าที่เพิ่มขึ้นได้อย่างทันท่วงที ทำตามกฎระเบียบของทางการที่เพิ่มขึ้นและการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรงขึ้นทุกวัน

2. ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)

ตามรายงานล่าสุดของ PwC เรื่อง “Leveraging the Upcoming Disruptions from AI and IoT” (การสร้างประโยชน์จากเทคโนโลยีพลิกผันจาก AI และ IoT ที่กำลังใกล้เข้ามา) คุณวิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษาชั้นนำของ PwC ประเทศไทยกว่าว่าธุรกิจจำเป็นจะต้องเรียนรู้หาวิธีการที่จะสร้างคุณค่าจากเทคโนโลยี AI และ IoT เพื่อลดความเสี่ยงจากการพ่ายแพ้การแข่งขันธุรกิจกับคู่แข่งในระยะอันใกล้นี้ ในรายงานฉบับเดียวกันยังชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันจากพนักงานเองที่ต้องการมีประสพการณ์การทำงานที่สะดวกสบายและเป็นส่วนตัวมากขึ้นโดยการใช้แอพพลิเคชั่นที่เป็น AI มาช่วยในชีวิตการทำงานเช่นเดียวกับที่เขาคุ้นเคยกับที่บ้าน

เนื่องจาก AI อยู่ในช่วงเริ่มต้น ธุรกิจอาจจะยังมีความเข้าใจผิดว่ามันเหมาะสมสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่หรือบริษัทไฮเทคเท่านั้น ซึ่งไม่เป็นความจริงเพราะว่าปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นที่เป็น AI หลายตัวให้เลือกมาสนับสนุนการทำธุรกิจได้ทุกขนาด

ประโยชน์ที่จะได้ทันทีจากการนำ AI มาใช้งานคือการทำให้ธุรกิจของตนมีเครื่องมือใหม่ที่จะทำงานได้อย่างฉลาดมากขึ้น (New Tools to Work Smarter) ด้วยความก้าวหน้าของ AI จะเสียเวลาน้อยลงในการจัดการข้อมูล และจะมีเวลามากขึ้นในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างฉลาดขึ้นและได้ความรู้เชิงลึกเพื่อนำมาใช้สร้างประโยชน์ให้ธุรกิจต่อไป สามารถนำ AI มาใช้ช่วยในการตัดสินใจในทุก ๆ เรื่องตั้งแต่จะเลือกผลิตภัณฑ์ไหนขึ้นแสดงบนเว็บไซต์ของคุณไปจนถึงจะใช้จ่ายงบประมาณค่าโฆษณากับสื่อใหนให้เกิดยอดขายเพิ่มขึ้นมากที่สุด

ตัวอย่างที่เห็นชัดคือการใช้ Pegg ซึ่งเป็นแชตบอท (Chatbot) ตัวหนึ่งที่สร้างโดย Sage บน Facebook Messenger และ Slack ด้วยการใช้ Pegg จะทำให้ผู้ใช้สามารถจัดการทางการเงินของธุรกิจของตน รวมทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ง่ายดายขึ้น ทำให้มีเวลาทุ่มเทให้แก่ธุรกิจหลักของตัวเองมากขึ้น

แม้ AI จะอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่เรามองเห็นประโยชน์ที่น่าจะเกิดขึ้นมากมาย จากการที่คอมพิวเตอร์สามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้ดีกว่ามนุษย์ สำหรับ SMEs แล้ว AI จะช่วยเปิดโอกาสให้แก่ความน่าจะเป็นใหม่ ๆ มันจะทำลายรูปแบบการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ และเผยให้เห็นโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้นและทลายกำแพงที่เคยขวางกั้นในการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ๆ AI จะทำให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีกระบวนการธุรกิจที่ไหลลื่นไร้รอยต่อ  ลดต้นทุนการดำเนินงาน สร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ลูกค้า เป็นต้น ธุรกิจชนาดเล็กควรจะรีบเร่งหาโอกาสจากการใช้ AI และไม่ควรหวาดกลัวหลีกหนีจากเทคโนโลยีใหม่นี้

ตอบรับเทคโนโลยีใหม่ - ลองฟังดูอะไรคือสิ่งที่ Sage สามารถช่วยท่านได้ ?

โดยปกติ SMEs มักจะนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ประโยชน์ช้า Sage มุ่งมั่นที่จะช่วยให้ SMEs สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่นี้และเป็นคนแรกที่ได้ประโยชน์จากมัน เพื่อให้สามารถเติบโตทางธุรกิจได้อย่างยั้งยืน Sage ช่วยชี้แนะทิศทางใหม่ให้แก่ SMEs อย่างเช่น AI โดยช่วยตอบคำถามอย่างเช่น “เทคโนโลยีนี้มีความหมายต่อธุรกิจของเราอย่างไร” และ “เราจะเริ่มจากจุดไหนอย่างไร”

Sage สนับสนุนการสร้างธุรกิจตามความฝันของคุณโดยการทำให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตั้งแต่เรื่องการนำมาปรับใช้ (Implementation) และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance) และการเปลี่ยนแปลงการทำงานให้เป็นระบบดิจิตอล Sage สามารถช่วยสนับสนุนธุรกิจของคุณได้ในทุก ๆ ระดับขั้นของการเจริญเติบโต ให้สามารถนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ประโยชน์ และลดช่องว่างความสามารถที่เกิดจากขาดเทคโนโลยี การสร้างธุรกิจเป็นเรื่องหลักของเศรษฐกิจ ดังนั้น Sage สามารถช่วยสนับสนุนเป้าหมายในการเติบโตทางธุรกิจของคุณ ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศชาติโดยรวมต่อไป

โซลูชั่นของ Sage ถูกพัฒนาขึ้นมาจากระดับรากฐานเพื่อการเจริญเติบโต หัวใจของโซลูชั่นของเราคือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคุณลักษณะเฉพาะและความต้องการเฉพาะของ SMEs ทำให้เราสามารถสร้างกรอบการทำงาน (Frameworks) ที่เหมาะกับ SMEs ได้อย่างสมบูรณ์ แทนที่จะเป็นการย่อส่วนของโซลูชั่นที่เหมาะสมกับธุรกิจขนาดใหญ่มาเป็นระบบที่เล็กลงเพื่อใช้กับ SMEs

Sage Asia มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนประเทศไทยให้เติบโตจากรากฐานโดยมีจุดเริ่มต้นที่กรุงเทพมหานครก่อน เรามีแผนงานที่จะตั้งสำนักงานตัวแทนของเราที่นี่ สำนักงานนี้จะช่วยในการเชื่อมโยงกับพาร์เนอร์ในท้องถิ่นของเรา ไม่เพียงแต่การรองรับการเจริญเติบโตของธุรกิจในภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทย แต่ยังมีแผนการที่จะให้ช่วยสนับสนุนการขยายตัวออกสู่ภูมิภาคอินโดจีน เรากำลังจัดทำรายละเอียดของแผนงานเพื่อเสริมสร้างความเข็มแข็งให้แก่ลูกค้าและพาร์เนอร์ของเราในประเทศไทย

เรายังมีความต้องการที่จะเริ่มต้นช่วยเหลือสถาบันการศึกษาและหน่วยงานการเรียนรู้ที่สูงขึ้นในประเทสไทย ด้วยการทำความร่วมมือกับหน่วยงานของภาครัฐบาลและองค์กรเอกชน เพื่อช่วยให้นักศึกษาไทยมีทักษะความสามารถที่จำเป็นโดยเฉพาะในเรื่องเทคโนโลยีเพื่อให้เป็นกำลังแรงงานที่ยังทรงคุณค่า (Stay Relevant) และทำงานได้ในยุคดิจิตอลซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่กำลังจะเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อันเป็นผลมาจากการเป็น ASEAN Economic Community ที่สนับสนุนการเคลื่อนที่อย่างเสรีของสินค้า บริการและการลงทุน รวมทั้งการเปิดเสรีการเคลื่อนที่ของเงินทุนและกำลังแรงงาน การที่แรงงานมีทักษะในเทคโนโลยีและความรู้ใหม่ ๆ ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความสามารถให้แก่กำลังแรงงานไทยในอนาคตสามารถหางานทำได้ในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะกับ SMEs ในประเทศเหล่านั้น

สรุปส่งท้าย

เทคโนโลยีกำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจอย่างรุนแรงให้แก่ทุก ๆ อุตสาหกรรมและทุก ๆ  SMEs ในประเทศไทย ทุกคนต้องการเป้นผู้นำเพื่อจะอยู่รอดทางธุรกิจและเปลี่ยนแปลงได้ทัน   ธุรกิจประสบกับความล้มเหลวเมื่อไม่สามารถปรับตัวตามแนวโน้มในปัจจุบันให้ทัน ในอดีตมีตัวอย่างของธุรกิจระดับชั้นนำที่ล้มเหลวเพราะไม่ยอมรับการเกิดขึ้นของนวัตรกรรมใหม่ ๆ และอยู่ไม่รอดมาถึงปัจจุบัน (Kodak , Blockbuster และ Borders)

เพื่อผลักดันไม่เพียงแต่ความสำเร็จทางธุรกิจทางธุรกิจของตน แต่ต้องเสริมสร้างความสำเร็จทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทยด้วย ธุรกิจจะต้องสร้างแผนงานที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ประโยชน์และทำให้เร็วที่สุด ถ้าธุรกิจมั่วแต่คิดว่าจะนำเทคโนโลยี AI และระบบคลาวด์มาใช้ในอีก 10 ปีข้างหน้า เขาก็จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งในปัจจุบันที่มองไปข้างหน้าและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาปรับใช้ได้เร็วกว่า

SMEs ควรที่จะมองหาพาร์เนอร์ทางเทคโนโลยีที่สามารถปรับโซลูชั่นให้เป้นไปตามความต้องการจริง ๆ ทางธุรกิจของตนได้ ไม่ใช่เพียงแค่การปรับลดขนาดของโซลูชั่นที่เคยใช้กับธุรกิจขนาดใหญ่ลงมาใช้กับ SMEs พาร์ทเนอร์ทางเทคโนโลยีที่เข้าใจ SMEs และช่วยในเรื่องการพัฒนาโซลูชั่นที่เหมาะสมดีกว่าจะช่วย SMEs ให้ได้รับประโยชน์จากการใช้มัน สามารถมองเห็นความเป็นไปทางธุรกิจของตนอย่างครอบคลุมชัดเจน และบริหารจัดการให้เกิดการเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง