เนื้อหาวันที่ : 2017-03-31 11:49:03 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1984 views

แพนดอร่า โพรดักชั่น เปิดโรงงานแห่งที่ 2 สาขาลำพูน ตั้งเป้ากำลังการผลิตเพิ่ม 25% ตอกย้ำผู้นำการผลิตและส่งออกเครื่องประดับอัญมณีรายใหญ่ที่สุดของโลก

ลำพูน-30 มีนาคม 2560-แพนดอร่า หนึ่งในแบรนด์เครื่องประดับอัญมณีฝีมือประณีตที่ใหญ่ที่สุดของโลก และผู้ผลิตและส่งออกเครื่องประดับอัญมณีรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เปิดฐานการผลิตแห่งใหม่ที่จังหวัดลำพูนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

บริษัท แพนดอร่า โพรดักชั่น จำกัด ผู้ผลิตเครื่องประดับอัญมณีชื่อดังสัญชาติเดนมาร์กแบรนด์ “แพนดอร่า” เฉลิมฉลองการเปิดฐานผลิตเครื่องประดับแห่งที่สองในประเทศไทย โดยเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเติบโตในระยะยาวเพื่อมุ่งสู่วิสัยทัศน์ในการเป็น “แบรนด์เครื่องประดับอัญมณีที่ผู้คนรักและชื่นชอบมากที่สุดในโลก” การขยายฐานการผลิตมาที่จังหวัดลำพูนนี้ถือเป็นก้าวแรกของการริเริ่มเชิงกลยุทธ์ของแพนดอร่าในการรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้นและเพื่อเสริมกำลังการผลิตของโรงงานแห่งแรกในกรุงเทพฯ ที่มีช่างฝีมือมากกว่า 12,000 คนผลิตเครื่องประดับอัญมณีฝีมือประณีตให้ลูกค้าในมากกว่า 100 ประเทศ

มร.นีลส์ เฮแลนเดอร์ รองประธานอาวุโสสายงานการผลิตและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แพนดอร่า โพรดักชั่น จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2559 แพนดอร่าผลิตเครื่องประดับอัญมณีทั้งหมด 122 ล้านชิ้น มีรายได้รวมคิดเป็นมูลค่าประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปี 2558 โดยโรงงานแห่งที่ 2 สาขาลำพูน จะผลิตเครื่องประดับอัญมณีได้กว่า 25% ของปริมาณการผลิตเครื่องประดับทั้งหมดของแพนดอร่าในประเทศไทยในปี 2560 ด้วยกระบวนการผลิตแบบเน้นการไหลของกระบวนการ (Flow) และผลิตแบบกึ่งอัตโนมัติเพื่อประหยัดเวลาช่วยลดเวลาในการผลิตเพิ่มมากขึ้นถึง 50% ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตวัตถุดิบจนถึงขั้นตอนสุดท้าย”เกี่ยวกับแพนดอร่า โพรดักชั่น ลำพูน งานฝีมือเครื่องประดับที่มีรายละเอียดซับซ้อนมากขึ้น

โดยฐานการผลิตแห่งใหม่ที่จังหวัดลำพูนนี้มีพื้นที่ฝ่ายผลิตทั้งสิ้นกว่า 20,000 ตารางเมตร สามารถรองรับช่างฝีมือได้สูงสุดถึง 5,000 คน อีกทั้งได้สร้างมิติใหม่ให้แก่วงการเครื่องประดับในด้านการผสมผสานการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเข้ากับเทคนิคการสร้างสรรค์เครื่องประดับฝีมือประณีตที่พัฒนาขึ้นโดยผู้ก่อตั้ง ซึ่งทำให้แพนดอร่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการผลิตได้ดียิ่งขึ้น โดยยังคงสามารถรักษามาตรฐานคุณภาพและเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเครื่องประดับฝีมือประณีตแต่ละชิ้นได้เป็นอย่างดี ด้วยการออกแบบอันล้ำสมัย ช่วยให้ฐานการผลิตแห่งนี้สามารถรองรับการผลิตเครื่องประดับที่มีการออกแบบและมีขั้นตอนการผลิตที่ซับซ้อนมากขึ้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยสนับสนุนกลยุทธ์การเพิ่มประเภทสินค้าและลดเวลานับตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบสินค้าไปจนถึงการส่งมอบสินค้าไปยังร้านค้า

“ด้วยฐานการผลิตแห่งใหม่อันล้ำสมัยของแพนดอร่าที่จังหวัดลำพูนและระบบการผลิตแบบ LEAN ประสิทธิภาพสูง (Lean Oriented Production) ทำให้เรามีระบบการผลิตที่ยืดหยุ่นมากขึ้นและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าของเราที่เพิ่มมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ” มร.นีลส์ เฮแลนเดอร์ รองประธานอาวุโสสายงานการผลิตและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แพนดอร่า โพรดักชั่น จำกัด กล่าว

มาตรฐานสูงสุดของการผลิตบนพื้นฐานของความยั่งยืน

ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมและการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้โรงงานแห่งนี้มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ถือได้ว่าดีที่สุดในอุตสาหกรรมประเภทเดียวกันในภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งฐานการผลิตแห่งนี้ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน Leadership in Energy and Environmental Design หรือ LEED ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและความยั่งยืน

“ฐานการผลิตแห่งนี้ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมเครื่องประดับทั้งในด้านขนาด การผลิตที่รวดเร็ว ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และความทันสมัย” มร.ลาร์ส เรนช์ นีลเซน รองประธานและผู้จัดการทั่วไป โรงงานลำพูนผู้มีบทบาทสำคัญในด้านการออกแบบและก่อสร้างฐานการผลิตแห่งนี้กล่าว

  • วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างโรงงานมากกว่า 30% มาจากวัสดุรีไซเคิลและของเสียจากการก่อสร้าง 75% ของขยะนำไปรีไซเคิลได้
  • มีการติดตั้งแผงโซลาร์กว่า 8,500 ตารางเมตร ซึ่งผลิตพลังงานมาใช้ในโรงงานได้ถึง 14% โดยเทียบเท่ากับการใช้พลังงานสำหรับ 700 ครัวเรือน
  • ด้วยระบบบริหารจัดการน้ำที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษทำให้โรงงานสามารถลดการใช้น้ำได้ 45%
  • มีระบบปรับอากาศและระบบระบายอากาศที่ช่วยลดการสูญเสียพลังงานได้ถึง 80%
  • ฐานการผลิตแห่งนี้ใช้พลังงานน้อยกว่าโรงงานเครื่องประดับทั่วไปได้ถึง 18% ด้วยมาตรการด้านการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทนและการตรวจวัดพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

มาตรฐานขั้นสูงของฐานการผลิตแห่งใหม่นี้ ไม่ได้เพียงช่วยลดต้นทุนและประหยัดพลังงานได้อย่างมหาศาล หากยังสร้างความมั่นใจให้กับแพนดอร่าในด้านการรองรับความต้องการด้านความยั่งยืนของลูกค้าทั่วโลกในอนาคต