เนื้อหาวันที่ : 2015-10-21 11:37:55 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1517 views

3 องค์กร จัดหลักสูตรต้านทุจริตในห่วงโซ่ธุรกิจ 77 บริษัทขานรับเข้าร่วม

เครือข่ายหุ้นส่วนต้านทุจริตเพื่อประเทศไทย ร่วมกับชมรมวาณิชธนกิจ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย และ ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จัดทำหลักสูตรต้านทุจริต อิงหลักการและแนวปฏิบัติสากล ติวเข้มกระบวนงานต้านทุจริตให้กับ 77 บริษัท ได้มีเช็คลิสต์ต้านทุจริตภาคปฏิบัติ (Action-oriented) ที่เหมาะสมกับบริบทธุรกิจ

เครือข่ายหุ้นส่วนต้านทุจริตเพื่อประเทศไทย หรือเครือข่าย PACT (Partnership Against Corruption for Thailand) เป็นเครือข่ายที่ที่ริเริ่มขึ้นโดยสถาบันไทยพัฒน์ มีเป้าประสงค์ที่ต้องการสนับสนุนภาคธุรกิจให้มีแพลตฟอร์มดำเนินการต้านทุจริตในภาคปฏิบัติ (Anti-corruption in Practice) ได้ร่วมมือกับชมรมวาณิชธนกิจ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย และบริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด พัฒนาหลักสูตรแนวทางการต้านทุจริตสำหรับองค์กรธุรกิจขึ้น เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในแนวทางการต้านทุจริตสำหรับองค์กรธุรกิจและการดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกัน มิให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทและบริษัทย่อยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต ตามหลักการและแนวปฏิบัติในการต่อต้านการทุจริตที่เป็นสากล พร้อมทั้งกรณีศึกษา อันจะนำไปสู่การยกระดับการดำเนินการเพื่อความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนไทย

ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ กล่าวในฐานะองค์กรผู้ริเริ่มเครือข่าย PACT ถึงการจัดหลักสูตรต้านทุจริตในครั้งนี้ ว่า “การจัดอบรมวันนี้ (20 ต.ค.) มีสมาชิกจากเครือข่าย PACT ให้ความสนใจสำรองที่นั่งเต็มตั้งแต่วันแรก จากที่วางไว้ 100 ที่นั่ง จำเป็นต้องขยายเพิ่มเป็น 120 ที่ โดยยังมีสมาชิกที่สนใจ แต่ไม่สามารถเข้าร่วมอบรมในครั้งนี้ได้ จึงคิดว่า อาจจะต้องเปิดรับรุ่นที่ 2 ในเร็วๆ นี้”

โดยหัวข้อการอบรมในหลักสูตรนี้ ประกอบด้วย ความหมายและความสำคัญของการต่อต้านการทุจริต กระบวนงานในการต่อต้านการทุจริตสำหรับองค์กรธุรกิจ การวางกระบวนงานภายในองค์กรเพื่อยกระดับความคืบหน้าในการต่อต้านการทุจริต และวิธีการรายงานการเปิดเผยข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูล 56-1, 56-2 และ 69-1 โดยวิทยากรจากบริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด และเครือข่าย PACT

คุณนรเชษฐ์ แสงรุจิ ประธานกรรมการชมรมวาณิชธนกิจ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย กล่าวในฐานะองค์กรหุ้นส่วนเครือข่าย PACT ถึงการจัดอบรมในวันนี้ ว่า “บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน หรือ Financial Advisor นับเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการแนะนำบริษัทผู้ออกและเสนอขายหลักทรัพย์ต่อแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต ดังนั้น การจัดอบรมหลักสูตรต้านทุจริตสำหรับองค์กรธุรกิจ ให้สามารถให้คำแนะนำแก่บริษัทผู้ออกและเสนอขายหลักทรัพย์ในการดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันมิให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตตามหลักการและแนวปฏิบัติในการต่อต้านทุจริตที่เป็นสากล พร้อมทั้งกรณีศึกษา จะนำไปสู่การยกระดับการดำเนินการเพื่อความยั่งยืนของบริษัทไทยต่อไป”

การจัดอบรมในหลักสูตรนี้ เป็นหลักสูตรเต็มวัน ซึ่งนอกจากจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ แล้ว ผู้เข้าร่วมอบรมที่เป็นผู้ปฏิบัติงานในสายงานที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ทางสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย ยังได้พิจารณาให้สามารถนับเป็นชั่วโมงสำหรับการทบทวนและเพิ่มพูนความรู้ได้จำนวน 3 ชั่วโมงด้วย

ด้านนายวรพงษ์ สุธานนท์ หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มการทุจริตในองค์กรว่า ยังคงเป็นปัญหาหลักในการประกอบธุรกิจของบริษัทไทย จากการสำรวจอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ Thailand Economic Crime Survey ประจำปี 2557 พบว่าร้อยละ 89 ของการทุจริตเกิดขึ้นจากการกระทำของคนในองค์กร ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับระดับเอเชียแปซิฟิกที่ร้อยละ 61 และระดับโลกที่ร้อยละ 56

นอกจากการทุจริตจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคเศรษฐกิจและการเงินแล้ว ปัญหาดังกล่าวยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระทบต่อชื่อเสียง คุณภาพของสินค้าและบริการ รวมถึงขวัญและกำลังใจในการทำงานของพนักงานในองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการทำทุจริตค่อนข้างสูง เช่น อุตสาหกรรมการผลิต ที่ส่งผลกระทบไปทั้งระบบซัพพลายเชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีผู้จัดการแผนกจัดซื้อ หรือฝ่ายควบคุมคุณภาพเข้ามามีส่วนร่วมกับการฉ้อโกงด้วย ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมามีตั้งแต่ความปลอดภัย การเรียกคืนสินค้า หรือความเสี่ยงอื่นๆ ที่ไม่สามารถคาดเดาได้

“ปัญหาการทุจริตในองค์กรทำให้ประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันได้ ภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) การทุจริตเป็นเหมือนโรคระบาดติดต่อกันง่าย สามารถเกิดขึ้นได้แม้กระทั่งในองค์กรที่มีการป้องกันอย่างรัดกุม เนื่องจากอาชญากรทางเศรษฐกิจใช้เทคนิคการทุจริตใหม่ๆ ตลอดเวลา ดังนั้นจึงจะเป็นต้องใช้กระบวนการหลายๆ มิติมาทำงาน” นายวรพงษ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือหรือคู่มือในการต่อต้านทุจริตจะไม่เกิดประโยชน์ หากไม่ได้มีการนำมาใช้ หรือไม่มีความเข้าใจว่าจะนำมาใช้ได้อย่างไร ซึ่งนอกเหนือไปจากการที่แต่ละองค์กรได้ให้คำมั่นว่าจะต่อต้านการทุจริตแล้ว การเปิดโอกาสให้บุคลากรได้เข้ามาศึกษาให้เข้าใจในการอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญที่หน่วยงานภาคเอกชนได้เริ่มต้นที่จะศึกษาหาวิธีป้องกัน ตรวจสอบ ฟื้นฟู และตอบสนองต่อเหตุทุจริต ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการวางนโยบายและการควบคุมภายในให้สอดคล้องเหมาะสมกับแต่ละองค์กรต่อไป

 

ที่มา : http://www.pact.network/