อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ยืนยันแม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ยอดมูลค่าเมื่อคิดเป็นเงินบาทจะน้อยลง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าภาคการเกษตร แต่มั่นใจยอดการส่งออกตลอดทั้งปียังเติบโตตามเป้าหมายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 12.5 หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 145,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่แนะผู้ส่งออกปรับตัวลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลง พร้อมเดินหน้าเร่งหาตลาดใหม่ชดเชยผลกระทบค่าเงินบาท

นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้นิ่งนอนใจเกี่ยวกับปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาอยู่ที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้อีก เพราะการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว ซึ่งหากดูภาพรวมค่าเงินในภูมิภาคอยู่ในระดับที่แข็งค่าใกล้เคียงกัน จึงไม่ส่งผลกระทบในเรื่องของขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยที่ยังสามารถแข่งขันได้ดีอยู่

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการส่งออกได้มีการหารือร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกทุกประเภทในแต่ละเดือนอยู่แล้ว และเห็นว่าแม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น แต่ยังสามารถที่จะผลักดันการส่งออกสินค้าไทยในแต่ละกลุ่มสินค้าเติบโตต่อเนื่องได้ กรมส่งเสริมการส่งออกจึงมั่นใจว่า ปีนี้การส่งออกของไทยจะเติบโตตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 12.5 หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 145,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้อย่างแน่นอน แม้อาจทำให้ผู้ส่งออกในกลุ่มสินค้าภาคการเกษตรหรืออุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบ โดยเมื่อคิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ จะไม่กระทบมาก แต่หากคิดเป็นเงินบาทดูจะกระทบมาก แต่เชื่อว่าผู้ส่งออกไทยจะต้องปรับตัวลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และปรับปรุงคุณภาพสินค้าให้เป็นที่ยอมรับ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น

อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวอีกว่า แนวทางการช่วยเหลือผู้ส่งออกไทยที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น นอกจากผู้ส่งออกจะต้องปรับตัวลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงแล้ว ในส่วนสินค้าภาคการเกษตร เช่น กุ้ง ข้าว มันสำปะหลัง และอื่น ๆ กระทรวงพาณิชย์มีมาตรการที่จะกระตุ้นให้ประชาชนหันมาบริโภคสินค้าเหล่านี้ เพื่อเป็นการชดเชยผลกระทบจากปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า ขณะเดียวกัน ในแต่ละเดือนกรมส่งเสริมการส่งออกได้ร่วมกับภาคเอกชนเดินหน้าเจาะตลาดใหม่ ๆ ในตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อหวังให้สินค้าไทยกระจายไปยังตลาดทั่วโลกให้เพิ่มขึ้น

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ