เนื้อหาวันที่ : 2007-07-09 15:08:37 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1653 views

เวียดนามแซงไทย นักลงทุนแห่ซบเพียบ 4 เดือน ยอดพุ่งเท่าตัว

ไทยสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันให้เวียดนามแล้ว นับเป็นปีแรกนักลงทุนต่างประเทศหันไปลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้น แค่ 4 เดือนแรกของปีแซงหน้าไทยเกินเท่าตัว มีมูลค่าการลงทุน 5 พันล้าน เหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยเหลือแค่ 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วง 4 เดือนปี 49 ถึง 43.79% จี้รัฐเร่งสร้างความเชื่อมั่น

ไทยสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันให้เวียดนามแล้ว นับเป็นปีแรกนักลงทุนต่างประเทศหันไปลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้น แค่ 4 เดือนแรกของปีแซงหน้าไทยเกินเท่าตัว มีมูลค่าการลงทุน 5 พันล้าน เหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยเหลือแค่ 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วง 4 เดือนปี 49 ถึง 43.79% จี้รัฐเร่งสร้างความเชื่อมั่น

.

กรณีภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งสร้างความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศโดยเร็ว หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารประเทศ การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในประเทศ เช่น ร่างกฎหมายค้าปลีกค้าส่ง ร่างกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างชาติ เป็นต้น จนนำไปสู่การชะลอการลงทุนจากต่างประเทศในโครงการต่างๆในปีนี้ โดยส่วนใหญ่แสดงความเห็นว่าต้องการรอดูความชัดเจนทางการเมือง รวมถึงรอให้เกิดการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่

.

แหล่งข่าวจากภาคเอกชนรายหนึ่ง เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่ได้รับ ทราบว่าปีนี้นับเป็นปีแรกที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Invesment) หรือเอฟดีไอ ไทยได้สูญเสียให้เวียดนามไปแล้ว โดยมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศลดลงและเป็นรองเวียดนามที่ปีนี้ตัวเลขเอฟดีไอคิดเป็นประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากในอดีตไทยจะมีมูลค่าเอฟดีไอสูงกว่าเวียดนามมาโดยตลอด

.

"สิ่งที่น่าห่วงตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องเงินบาทแข็งค่า แต่เป็นเรื่องการลงทุนทางตรง ซึ่งมีน้อยลง ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถทางด้านการแข่งขันให้เวียดนาม หลังจากช่วงที่ผ่านมา กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศได้ชะลอการลงทุนในประเทศไทยด้วยเหตุผลเรื่องความกังวลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว มาตรการในการดูแลค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 รวมทั้งไม่แน่ใจว่าปลายปีนี้จะมีการจัดการเลือกตั้งได้ทันตามที่รัฐบาลประกาศไว้หรือไม่"

.

แหล่งข่าวกล่าวว่า ส่วนเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในช่วงนี้เป็นเงินร้อน หรือ Hot money ที่เข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นจากการที่เห็นว่าราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังถูกอยู่เมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาค ซึ่งเงินที่เข้ามาส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วย

.

รายงานข่าวจาก ธปท.แจ้งว่า จากข้อมูลล่าสุดของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) พบว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2550 มีเอฟดีไอเข้ามาในประเทศจำนวนทั้งสิ้น 2,755 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในเดือนมกราคมมีจำนวน 1,211 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดือนกุมภาพันธ์จำนวน 446 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดือนมีนาคมจำนวน 441 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเดือนเมษายนจำนวน 657 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ เอฟดีไอจำนวนดังกล่าวลดลงจากช่วง 4 เดือนของปี 2549 จำนวน 2,147 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงถึง 43.79% ทั้งนี้ ในปี 2549 มีเอฟดีไอเข้ามาจำนวนรวมทั้งสิ้น 10,456 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

.

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ของไทย 5 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 344 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 123,000 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มีจำนวน 322 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 90,000 ล้านบาท โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น คิดเป็นมูลค่า 49,000 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา มีมูลค่า 16,000 ล้านบาท อาเซียน คิดเป็น 11,000 ล้านบาท สหภาพยุโรป (อียู) จำนวน 5,000 ล้านบาท ไต้หวัน 2,000 ล้านบาท เทียบกับ 5 เดือนแรกของปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่มูลค่าการลงทุนปรับลดลง ยกเว้นญี่ปุ่น และสหรัฐที่ยังมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มประเทศอาเซียนลดการลงทุนลงสูงที่สุดจาก 5 เดือนแรกปี 2549 มีการลงทุนรวม 21,000 ล้านบาท

.
ที่มา : มติชน