เนื้อหาวันที่ : 2007-07-06 09:24:02 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1813 views

ทีเอ็นที เปิดเส้นทางขนส่งทางบกสายแรกของเอเชียสู่เวียดนาม

ทีเอ็นที ผู้นำธุรกิจขนส่งพัสดุด่วนชั้นนำระดับโลก เปิดตัวเครือข่ายการขนส่งทางบกสายเอเชีย เพื่อขยายการบริการต่อไปยังประเทศจีนผ่านเวียดนาม เส้นทางขนส่งทางบกสายเอเชียนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชื่อมต่อเมืองสำคัญกว่า 120 เมือง ตลอดเส้นทาง 4,000 กิโลเมตร

 .

ทีเอ็นที ผู้นำธุรกิจขนส่งพัสดุด่วนชั้นนำระดับโลก เปิดตัวเครือข่ายการขนส่งทางบกสายเอเชีย เพื่อขยายการบริการต่อไปยังประเทศจีนผ่านเวียดนาม เส้นทางขนส่งทางบกสายเอเชียนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชื่อมต่อเมืองสำคัญกว่า 120 เมือง ตลอดเส้นทาง 4,000 กิโลเมตร

 .

ทีเอ็นที ผู้นำธุรกิจขนส่งพัสดุด่วนชั้นนำระดับโลก เปิดตัวเครือข่ายการขนส่งทางบกสายเอเชีย (Asia Road Network) ที่ขยายเส้นทางการขนส่งเข้าสู่ประเทศเวียดนามด้วยเม็ดเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นกว่า 6 ล้านยูโร (หรือประมาณ 280,680ล้านบาท) ซึ่งเป็นการลงทุนเพิ่มเติมจาก 2 ล้านยูโร  (หรือประมาณ 93,560 ล้านบาท) ทำให้ขณะนี้มียอดรวมการลงทุนที่มากกว่า 8 ล้านยูโร (หรือประมาณ 374,240 ล้านบาท) ทีเอ็นทีวางแผนที่จะเปิดเส้นทางใหม่นี้เพื่อขยายการบริการต่อไปยังประเทศจีน โดยผ่านทางชายแดนฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนามภายในสิ้นปี 2550   และเมื่อโครงการเสร็จสิ้นลง เครือข่ายการขนส่งทางบกสายเอเชียนี้จะครอบคลุมพื้นที่กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชื่อมต่อเมืองสำคัญกว่า 120 เมือง ตลอดเส้นทาง 4,000 กิโลเมตร

.

ภายหลังจากการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปลายปี 2548 เครือข่ายการขนส่งทางบกสายเอเชีย ของทีเอ็นทีได้เชื่อมโยงเส้นทางขนส่งจากประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์และไทยเข้าด้วยกัน  ด้วยการทำงานของอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งผ่านระบบดาวเทียมแบบเรียล-ไทม์   ตลอด 24 ชั่วโมง (Real-Time Global Positioning Satellite) ซึ่งถูกติดตั้งในรถบรรทุกทุกคัน ทำให้ผู้ใช้บริการไว้วางใจในมาตรฐานการบริการของทีเอ็นที และส่งผลให้ทีเอ็นทีมียอดการให้บริการขนส่งเพิ่มขึ้นเป็นอัตราตัวเลขสองหลักในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการขนส่งด่วนจากลูกค้าที่ต้องการจัดส่งสินค้าที่มีมูลค่าสูง อาทิเช่น สินค้าอีเลคทรอนิค อะไหล่รถยนต์ หรืออุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์   ซึ่งการขนส่งทางบกนั้นเร็วกว่าทางเรือ 2 -3 เท่า และสามารถช่วยลดต้นทุนในการขนส่งได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับการขนส่งทางอากาศ ด้วยบริการเครือข่ายการขนส่งทางบกสายเอเชียของทีเอ็นที ลูกค้าสามารถมั่นใจกับบริการที่ส่งตรงถึงมือผู้รับอย่างรวดเร็วตามเวลาที่กำหนด พร้อมด้วยความสามารถในการติดตามตำแหน่งของสินค้าได้ตลอดระยะเวลาขนส่ง

 .

 .

"เนื่องจากทีเอ็นทีได้มองเห็นถึงศักยภาพในการเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเวียดนาม ทีเอ็นที จึงได้ขยายเส้นทางการขนส่งไปยังพื้นที่นี้ ซึ่งการทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายทางอากาศและทางภาคพื้นดินเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เห็นถึงความแตกต่างของผู้ให้บริการการขนส่ง  ในปัจจุบัน ทีเอ็นทีเป็นผู้นำด้านการขนส่งที่เชื่อมต่อประเทศในยุโรป และกำลังขยายขีดความสามารถนี้ในทวีปเอเชีย พร้อมการเชื่อมต่อจากเอเชียไปยังยุโรปอีกด้วย ทีเอ็นทียังคงเดินหน้าขยายการลงทุนต่อไปเพื่อพัฒนาบริการใหม่ๆ เพื่อให้เครือข่ายการขนส่งทางบกสายเอเชียสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มประเทศนี้ได้มากที่สุด" ม.ร เดวิด เรคคอร์ด กรรมการผู้จัดการ บริษัททีเอ็นที  เอ็กซเพรส (ประเทศไทย) กล่าว

.

ความมุ่งมั่นสู่เอเชียการขยายเครือข่ายการขนส่งเส้นทางใหม่ของทีเอ็นทีเข้าสู่ประเทศเวียดนาม คือหนึ่งในแผนงานสำคัญของทีเอ็นทีเพื่อขยายเครือข่ายและการให้บริการในทวีปเอเชีย และเมื่อไม่นานมานี้ ทีเอ็นทีได้ควบรวมกิจการกับบริษัท Hoau ของประเทศจีน และบริษัท Speedage ของประเทศอินเดีย พร้อมสร้างศูนย์ปฏิบัติการเพื่อรองรับการขนส่งสินค้าชีวภาพ อาทิเช่นการจัดส่งตัวอย่างเลือดหรือเนื้อเยื่อในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่จะช่วยผลักดันให้บริษัท ทีเอ็นที เอ็กซเพรส มีรายได้รวมทั่วโลกเพิ่มมากขึ้นประมาณ 10 – 15 เปอร์เซ็นต์ ภายในสิ้นปีนี้

.

ผู้ให้บริการด้านการขนส่งพัสดุด่วนรายแรกที่เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างประเทศในเขตลุ่มแม่น้ำโขง  (EWEC)* ด้วยการขยายเครือข่ายการขนส่งทางบกสายเอเชียสู่ประเทศเวียดนาม ทีเอ็นทีถือเป็นผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนรายแรกที่เปิดประตูเศรษฐกิจเชื่อมกลุ่มประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำโขง (ยกเว้นประเทศสหภาพพม่า)  ซึ่งจะช่วยผลักดันการเติบโตด้านการค้าให้รวดเร็วยิ่งขึ้นสำหรับเมืองใหญ่ตลอดเครือข่ายนี้

.

สืบเนื่องจากการที่ประเทศเวียดนามได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์กรการค้าโลก ทำให้เวียดนามมีการลงทุนจากต่างชาติที่สูงขึ้นเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ หรือ 10.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 353,838 พันล้านบาท) ในปี 2549 และประเทศเวียดนามเองก็คาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์ในปี 2550 ถึง 2551 นี้เช่นกัน