เนื้อหาวันที่ : 2006-05-18 14:01:46 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2438 views

การฝึกอบรมจำเป็นแค่ไหนสำหรับองค์กรของคุณ

การเข้ารับการอบรมจะนำไปสู่ความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อคุณแน่ใจว่าการอบรมนั้นสามารถตอบสนองความต้องการของคุณได้

การเข้ารับการอบรมจะนำไปสู่ความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อคุณแน่ใจว่าการอบรมนั้นสามารถตอบสนองความต้องการของคุณได้คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ควรจะเริ่มรับการอบรมทักษะในการซ่อมบำรุง นี่เป็นคำถามที่คิดมูลค่าได้เป็นล้านทีเดียวสำหรับคนส่วนใหญ่ ความจำเป็นในการอบรมนั้นมักจะเห็นได้ชัดด้วยตนเอง แต่หากถามว่าควรเข้ารับการอบรมแบบไหน, ในเรื่องใด, และมากแค่ไหน เป็นคำถามที่ตอบได้ยาก ซึ่งการตอบคำถามเหล่านี้ก็คือการประเมินความจำเป็นในการเข้ารับการอบรมนั่นเอง

 

 
จุดเริ่มต้น

ขั้นตอนแรกในการประเมินความจำเป็นในการเข้ารับการอบรมคือการระบุปัญหา จากนั้นจะสามารถประเมินความจำเป็นได้หากว่าการเข้ารับการอบรมนั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาได้เนื่องจากผู้บริหารจะมองทุกมุมมองของหน่วยงานซ่อมบำรุง มันจำเป็นที่จะต้องหาคำตอบสำหรับคำถามพื้นฐานเหล่านี้ให้ได้

 
  • การอบรมนี้จะช่วยแก้ปัญหาให้เราได้หรือไม่
  • เราจะประหยัดเงินไปมากเท่าไหร่หากเราทำโครงการอบรม
  • การอบรมมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
  • ผลตอบแทนที่ได้จากการอบรมมีอะไรบ้าง
 

คำตอบของคำถามเหล่านี้อาจหาได้จากการศึกษาซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย แผนกการศึกษาสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ ว่าการอบรมมีผลอย่างไรต่อผลผลิต ผลของการศึกษาดังกล่าวที่น่าสนใจมีดังนี้:

 
  • การเพิ่มระดับการศึกษาในแต่ละบุคคล 10 % จะช่วยเพิ่มผลผลิต 8.6 %
  • การเพิ่มชั่วโมงการทำงานของแต่ละบุคคล 10 %  จะช่วยเพิ่มผลผลิต 6.0 %
  • การเพิ่มหุ้นให้แก่พนักงาน 10 % จะช่วยเพิ่มผลผลิต 3.2 %

แน่นอนว่าการอบรมเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ โดยส่วนใหญ่การอบรมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหา ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงคือการจัดการกระบวนการซ่อมบำรุงที่ไม่เป็นระบบและไม่มีวินัย การพัฒนาและนำไปใช้ของโครงการอบรมทักษะในการซ่อมบำรุงต้องเป็นส่วนของกลยุทธ์ที่ได้รับการพัฒนาอย่างดี   ทักษะที่เพิ่มขึ้นหากไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมก็จะไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เมื่อบุคคลได้รับการอบรมทักษะแล้ว จะต้องให้เวลาและเครื่องมือที่จะนำทักษะเหล่านั้นไปใช้ และต้องให้เขามีอำนาจในการปฏิบัติงาน

 

การเข้ารับการอบรมจะช่วยแก้ปัญหาได้หรือไม่?

การตอบคำถามนี้ เราจะต้องมองลึกลงไปถึงปัญหา จากการวิจัยค้นพบว่า 70 % ของความขัดข้องของอุปกรณ์เริ่มต้นจากความผิดพลาดของมนุษย์

 

ความขัดข้องของอุปกรณ์ที่เกิดขึ้นเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซ่อมบำรุงไปทั้งหมด บ้างก็เกิดจากความผิดพลาดโดยพนักงานปฏิบัติการ โดยการถูกชนกระแทก โดยเครื่องมือหรืออุปกรณ์อื่น ๆ เป็นต้น

 

ขั้นตอนการทำงานเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่จะระบุความขัดข้องของอุปกรณ์ การระบุสาเหตุที่แท้จริงของความขัดข้องทำได้โดยการสุ่มตัวอย่างขั้นตอนการทำงานของเครื่องที่เสียในช่วงระยะเวลา 3 เดือน คำถามที่จะต้องได้รับคำตอบคือ การขาดทักษะความชำนาญเป็นสาเหตุของปัญหาหรือไม่

 

ถ้าการขาดทักษะเป็นปัญหาหลัก คุณจะสามารถประเมินความเสียหายที่เกิดจากการขาดทักษะได้โดยง่าย ขั้นแรก หาผลรวมของ ต้นทุนของความเสียหายจากการผลิต, ต้นทุนของแรงงานซ่อมบำรุง, และต้นทุนของอะไหล่ที่ใช้ซ่อมแซม จากนั้นคูณผลรวมนี้ด้วยเปอร์เซ็นต์ของชั่วโมงแรงงานซ่อมบำรุงที่ใช้ไปในขั้นตอนการทำงานที่เครื่องจักรเสียอย่างกระทันหัน ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้จะเป็นตัวบ่งชี้คร่าวๆว่าการขาดทักษะในโรงงานของคุณก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายเท่าใด

 

การประเมินทักษะ

ระดับทักษะของบุคคลากรซ่อมบำรุงในบริษัทส่วนใหญ่มักต่ำกว่าระดับที่อุตสาหกรรมยอมรับได้  แผนกอบรมเทคนิคของ ไลฟ์ไซเคิล เอ็นจิเนียริ่ง ได้ประเมินระดับทักษะของบุคคลากรซ่อมบำรุงหลายพันคนในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา จากการประเมินชี้ให้เห็นว่า 80 % ของบุคคลากรซ่อมบำรุงเหล่านี้มีทักษะด้านเทคนิคที่จำเป็นในการปฎิบัติงานอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 %

 

การประเมินทักษะการซ่อมบำรุงเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าในการระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของพนักงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการออกแบบโครงการอบรมที่มีได้ผลดีและตรงกับความต้องการ การประเมินทักษะควรจะอยู่บนพื้นฐานของทักษะที่สำคัญ

 

บุคคลากรซ่อมบำรุงมักจะพบว่าเป็นการยากที่จะยกระดับทักษะด้านเทคนิค เพราะทักษะที่มีอยู่แล้วดูจะมากเกินความจำเป็น หรือไม่มีนำทักษะที่พวกเขามีอยู่แล้วมาประกอบการพิจารณา การประเมินทักษะถูกออกแบบมาเพื่อกำจัดปัญหาเหล่านี้ โดยทำให้การสร้างแนวทางการอบรมเฉพาะบุคคลหรือเฉพาะกลุ่มง่ายขึ้นด้วยการแสดงให้เห็นทักษะและความรู้ที่มีอยู่

 

เมื่อการประเมินทักษะถูกนำมาใช้ร่วมกับการวิเคราะห์หน้าที่งาน การวิเคราะห์ความแตกต่างจะถูกนำมาใช้เพื่อระบุประเภทของทักษะที่จำเป็นในการปฎิบัติงานให้มีประสิทธิภาพและทักษะที่แรงงานมีอยู่แล้วในปัจจุบัน การอบรมทั้งหมดจะต้องอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์หน้าที่งาน

 

คุณต้องจัดการอบรมเพื่อเพิ่มทักษะที่จำเป็นในการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงทักษะที่พนักงานมีอยู่แล้วด้วย รายละเอียดการวิเคราะห์นี้จะระบุทักษะที่จำเป็นในแต่ละงาน เพื่อให้การอบรมทั้งหมดเป็นไปตามความจำเป็นของงานจริง การวิเคราะห์นี้ยังช่วยให้มั่นใจว่าการอบรมจะให้โอกาสในการจ้างงานอย่างเท่าเทียมกัน

 

3 แง่มุมในการประเมินทักษะ

ทักษะในแต่ละด้านในการประเมินทักษะควรจะมี 3 ส่วน:
 
  • Written : ระบุความรู้ที่จำเป็นสำหรับทักษะที่มีลักษณะเฉพาะ ทฤษฎี หลักการ พื้นฐาน คำศัพท์และการคำนวณควรจะรวมอยู่ในทักษะด้วยการสอบ
  • Identification : ประเมินความรู้ในส่วนทักษะที่มีลักษณะเฉพาะ พนักงานต้องถูกถามชื่อของชิ้นส่วนต่างๆและอธิบายการใช้งานของชิ้นส่วนเหล่านั้นในการประเมินด้วยการสัมภาษณ์                              
  • Performance : ประเมินทักษะประสิทธิภาพ พนักงานจะต้องปฎิบัติตัวอย่างงานการซ่อมบำรุงได้ตามมาตรฐานการทำงานที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป

การประเมินข้อสอบข้อเขียนอาจถูกควบคุมโดยบุคคลากรของโรงงานเอง แต่ผู้ทำการประเมินที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานภายนอกหรือโรงเรียนเทคนิคในพื้นที่ควรจะเป็นผู้กำหนดและเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินทักษะ การปฎิบัติเช่นนี้ช่วยให้มั่นใจว่าผู้ทำการประเมินไม่มีความเชื่อต่อพนักงานบางคนที่รู้จักก่อนทำการประเมิน ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าความเชื่อที่มีอยู่เดิมมีความสำคัญ เช่น ในระหว่างการประเมินที่โรงงานทำกระดาษ ผู้จัดการฝ่ายซ่อมบำรุงชี้ไปที่พนักงานของเขาและพูดว่า เห็นผู้ชายคนนั้นมั๊ย นั้นเป็นนายช่างที่โง่ที่สุดที่ผมมีแต่ผลการประเมินมิได้เป็นเช่นนั้น เขาถูกจัดอยู่ในลำดับที่ห้าที่มีทักษะมากที่สุดจากช่างทั้งหมด 250 คน

 

ข้อมูลในการประเมินควรจะได้รับการวิเคราะห์และเรียบเรียงให้เป็นชุดรายงานที่บรรยายให้เห็นคะแนนในสามแง่มุม

  • ผลรวมของบริษัทแสดงให้เห็นภาพรวมของบุคลากรทั้งหมดที่ถูกทดสอบ
  • ผลลัพธ์ทางทักษะแสดงให้เห็นคะแนนของบุคคลากรที่ถูกทดสอบตามเรื่องนั้นๆ
  • ผลลัพธ์ของแต่ละบุคคลแสดงให้เห็นคะแนนในบททดสอบของแต่ละคน

ผลที่ได้ควรจะนำไปใช้สำหรับการบริหารบริษัทและสำหรับแต่ละคนที่ถูกทดสอบ

รายงานการประเมินจะกลายเป็นมาตรฐานในการศึกษาสถานะของแรงงานซ่อมบำรุงที่มีอยู่และเป็นประโยชน์ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการวัดความก้าวหน้าหรือเป็นโครงร่างสำหรับการจ้างพนักงานใหม่

 

หลังจากที่กระบวนการประเมนเสร็จสิ้น คุณสามารถที่จะจัดตั้งมาตรฐานการปฎิบัติงานสำหรับพนักงานแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่ม, พัฒนาแผนการอบรมเพื่อที่จะระบุทักษะที่ต้องการ, พัฒนาหลักสูตรเพื่อบรรลุเป้าหมายในการอบรม หรือทำการอบรมทักษะในสาขาที่ตั้งเป้าหมายไว้

 

การเพิ่มแรงกดดันที่จะพัฒนาผลผลิตและลดต้นทุนเป็นแรงผลักดันให้องค์กรค้นหาหนทางแก้ไขใหม่ๆ การอบรมที่ตั้งเป้าไว้จะมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ โดยไม่คำนึงว่าเป้าหมายเพื่อที่จะออกแบบโครงการผู้ฝึกงานสู่ช่างผู้ชำนาญการ หรือเพียงกำหนดทักษะเพื่อปรับปรุงพัฒนาให้ได้ผลสูง

 

เวลาและเงินที่ใช้ไปในการประเมินความจำเป็นในการเข้ารับการอบรมจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการอบรมที่มีข้อจำกัดทางการเงินโดยการช่วยระบุโอกาสที่เหมาะสมในการอบรม, ช่วยให้เงินถูกปันส่วนไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

 
เผชิญหน้ากับความจริงเกี่ยวกับทักษะการซ่อมบำรุง
  • บริษัทส่วนใหญ่ไม่มีบุคคลากรซ่อมบำรุงที่มีความชำนาญอย่างเต็มที่
  • มันเป็นการยากที่จะไล่พนักงานออกเพียงเพราะเขามีความสามารถไม่เพียงพอ
  • การจ้างบุคคลากรซ่อมบำรุงที่มีความชำนาญสูงนั้นยาก
  • ปัญหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับอุปกรณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆซึ่งทำให้บริษัทเกิดค่าใช้จ่ายมากมายต่อปีเป็นผลโดยตรงจากการขาดความชำนาญ
  • พนักงานที่มีความสามารถเป็นพนักงานที่ดีกว่าและได้รับการจูงใจได้ง่ายกว่า
  • บุคคลากรซ่อมบำรุงมักจะถูกฝึกฝนโดยผู้จัดการเพราะขาดทักษะความชำนาญ มิใช่เพราะขาดความเอาใจใส่หรือไม่อุทิศตนให้แก่งาน
  • พนักงานจะรู้สึกหงุดหงิดหรือเครียดเวลาที่พวกเขาไม่รู้วีธีที่เหมาะสมที่จะทำงานที่มีลักษณะเฉพาะ
  • บริษัทมากมายใช้จ่ายเงินหลายล้านบาทต่อปีในการอบรมการซ่อมบำรุงโดยไม่ตระหนักถึงผลที่ควรจะคาดหวังจากการอบรมหรือไม่มีวิธีที่จะวัดผล (เงินที่เราใช้จ่ายไปอาจจะไม่เท่ากับคุณค่าที่เราได้รับ)