เนื้อหาวันที่ : 2013-05-21 10:58:10 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1744 views

KTIS ชูกลยุทธ์มากกว่าน้ำตาล ย้ำอนาคตโตจากอุตสาหกรรมครบวงจร

KTIS ชูกลยุทธ์ธุรกิจเป็นมากกว่าน้ำตาล ย้ำอนาคตเติบโตจากอุตสาหกรรมครบวงจร

กลุ่มเกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น หรือ กลุ่ม KTIS ชูกลยุทธ์ธุรกิจเป็นมากกว่าผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำตาล เน้นสร้างธุรกิจในอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจรนอกจากน้ำตาลทราย มีทั้งเยื่อกระดาษจากชานอ้อย เอทานอลจากกากน้ำตาล และโรงไฟฟ้าชีวมวลที่คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2/56

“ณัฏฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ ย้ำทิศทางการเติบโตต้องควบคู่กับความเอาใจใส่ชาวไร่อ้อยที่กลุ่ม KTIS ให้ความสำคัญสูงสุด มองการเติบโตต้องไปด้วยกันจึงไร้ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ ทั้งยังมุ่งมั่นรักษาความเป็นผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายรายใหญ่โอกาสขยายธุรกิจไปยังอุตสาหกรรมอ้อยครบวงจรช่วยลดวัตถุดิบเหลือทิ้งจากอ้อยและสร้างมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจต่อเนื่อง

นายณัฏฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมน้ำตาลของประเทศและในระดับโลก ซึ่งโรงงานน้ำตาลเกษตรไทย ของบริษัทฯ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนครสวรรค์ มีกำลังการผลิตถึง 50,000 ตันอ้อยต่อวัน ถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก โดยประเทศไทยถือเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่อันดับสองของโลกรองจากประเทศบราซิล โดยอุตสาหกรรมน้ำตาลในประเทศไทย
มีเทคโนโลยีการผลิตที่ดี สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตให้อยู่ในลำดับต้น ๆ ของโลก อุตสาหกรรมน้ำตาลในไทยจึงเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เติบโตจากโรงงานน้ำตาลแห่งแรกในจังหวัดนครสวรรค์ โดยการเข้าซื้อโรงงานน้ำตาลทรายที่มีกำลังการผลิตเริ่มต้นเพียง 500 ตันอ้อยต่อวัน ซึ่งอุตสาหกรรมน้ำตาลของบริษัทฯ เติบโตอย่างรวดเร็ว จากการที่บริษัทพัฒนาและสร้างเครื่องจักรด้วยตนเอง ส่งผลให้ต้นทุนด้านเครื่องจักรของบริษัทฯ ต่ำกว่าเครื่องจักรที่นำเข้าจากต่างประเทศ อีกทั้งมีคุณภาพดีและสามารถบริหารจัดการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมวิศวกรของบริษัทเอง

ทั้งนี้ นอกจากการพัฒนาเครื่องจักรในการผลิตแล้วบริษัทฯยังให้ความสำคัญกับชาวไร่อ้อย โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวไร่ประสบความสำเร็จในการเพาะปลูกอ้อย เช่น โรงเรียนเกษตรกรซึ่งให้ความรู้ชาวไร่ การให้คำแนะนำชาวไร่อย่างใกล้ชิดตั้งแต่เริ่มการเพาะปลูกอ้อย ไปจนถึงขั้นตอนการเก็บเกี่ยว นอกจากนี้ยังมีการวิจัยพัฒนาพันธุ์อ้อยร่วมกับชาวไร่และ สวทช. เพื่อให้ได้คุณภาพความหวานและผลผลิตตันต่อไร่สูง ส่งผลให้พื้นที่ซึ่งเดิมเพาะปลูกพืชไม่ได้กลายเป็นพื้นที่ปลูกอ้อยที่ให้ผลผลิตดี โดยปัจจุบันกำลังผลิตรวมของกลุ่มบริษัทฯ มี 83,000 ตันอ้อยต่อวัน มาจากโรงงานเกษตรไทย 50,000 ตันอ้อยต่อวัน โรงงานไทยเอกลักษณ์ 18,000 ตันอ้อยต่อวัน และโรงงานรวมผล 15,000 ตันอ้อยต่อวัน ซึ่งกว่า 40 ปีที่บริษัทฯ เป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายที่เติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นผู้ประกอบการน้ำตาลในแถวหน้าของประเทศไทย

บริษัทฯ มีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ คือ ชาวไร่อ้อยมั่งคั่ง กลุ่ม KTIS มั่นคง ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก เรามีวัตถุดิบหลักในการดำเนินธุรกิจ คือ อ้อย ชาวไร่จึงมีความสำคัญกับเรา โดยเรามีการส่งเสริมการปลูกอ้อย การวิจัยพัฒนา การสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับชาวไร่ ทำให้บริษัทฯ เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะจัดสรรหุ้นของบริษัทฯ ให้กับชาวไร่เพื่อให้มีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของ เนื่องจากธุรกิจของเราทั้งธุรกิจน้ำตาลทราย ธุรกิจเยื่อกระดาษ ธุรกิจเอทานอล ธุรกิจไฟฟ้า ล้วนมีต้นทางวัตถุดิบมาจากอ้อยทั้งหมด จึงถือว่าชาวไร่เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้บริษัทฯ ซึ่ง เป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายรายใหญ่ที่ทำธุรกิจครบวงจรเติบโตอย่างมั่งคงต่อไป บริษัทฯ เราจึงเป็นมากกว่าผู้ผลิตน้ำตาล” นายณัฏฐปัญญ์ กล่าว

สำหรับธุรกิจของบริษัทฯ ในส่วนของอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากน้ำตาลซึ่งมีบริษัทย่อยจำนวน 3 แห่ง ในปัจจุบันประกอบด้วย 1.บริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์ พัลพ์ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด (EPPCO) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษฟอกขาว มีกำลังการผลิต 100,000 ตันต่อปี 2.บริษัท เอกรัฐพัฒนา จำกัด (EPC) ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเอทานอล โดยวัตถุดิบ คือ กากน้ำตาล นำมาผลิตเอทานอล ทั้งที่ใช้ในอุตสาหกรรมและใช้เป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิต 230,000 ลิตรต่อวัน และ 3. บริษัท เกษตรไทยไบโอ เพาเวอร์ จำกัด (KTBP) โรงงานไฟฟ้าชีวมวล จากชานอ้อยซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีกำลังการผลิตทั้งสิ้น 60 เมกกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 2 /56

สำหรับรายได้รวมของบริษัทฯ ในปี 2555 อยู่ที่ 24,630.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 22,074.6ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2,556.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขายน้ำตาลทราย รวมทั้งกระดาษ และเอทานอล ด้านกำไรสุทธิของบริษัทฯ ในงวดปี 2555 อยู่ที่ 2,506.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,110.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,395.9 ล้านบาท