เนื้อหาวันที่ : 2012-11-15 15:00:13 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1771 views

SMTปีหน้ารายได้พุ่ง1.3หมื่นล้าน เหตุกลับมาผลิตเต็มพิกัด Q3 กำไรโต 2,390%

ขณะที่ไตรมาส 3/55 กำไรพุ่ง 2,390% แตะ 552.66 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 22.21 ล้านบาท

SMT ฟุ้งรายได้ปีหน้าโตก้าวกระโดด 1.3  หมื่นล้านบาท จากปีนี้คาดทำได้ 2-3 พันล้านบาท หลังกลับมาเดินเครื่องได้ตามปกติ  ขณะที่ไตรมาส 3/55 กำไรพุ่ง 2,390% แตะ 552.66 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 22.21 ล้านบาท

นายพลศักดิ์ เลิศพุฒิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปีหน้าไว้ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจากปีนี้ที่คาดทำได้ 2,000-3,000 ล้านบาท หลังกลับมาเดินเครื่องได้ตามปกติ โดยรายได้หลักจะมาจากกลุ่มผลิตสินค้าแผงวงจรไฟฟ้า หรือ IC ประมาณ 60% และจากชิ้นส่วน MMA 40%

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทได้เงินค่าสินไหมทดแทนมาแล้ว 1,132 ล้านบาท และได้นำเงินดังกล่าวไปลงทุนซื้อเครื่องจักร เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของการผลิต  MMA  เป็น 120 ล้านชิ้นต่อปี และการผลิตชิ้นส่วน IC จำนวน 1,500 ล้านชิ้นต่อปี โดยคาดว่าสัดส่วนการผลิต IC ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นจาก 60% เป็น 70% และจะลดสัดส่วน MMA จาก 40% เหลือ 30% เพื่อให้เกิดความสมดุลและความต้องการของ IC ในตลาดโลกมากขึ้น

“ตอนนี้ได้เงินประกันมาแล้ว 1,132 ล้านบาท คาดว่าส่วนที่เหลือจะเข้าในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า โดยเงินก้อนแรกที่ได้มาก็นำไปซื้อเครื่องจักรใหม่ ทำให้มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นและลดกำลังแรงงานคนลงไปมาก เพราะใช้ระบบออโตเมชั่น ซึ่งเครื่องจักรที่ซื้อมาคาดว่าจะรองรับกำลังผลิตได้ถึงปี 57-58” นายพลศักดิ์ กล่าว

นายพลศักดิ์ กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทได้ผลิตสินค้ารูปแบบใหม่ที่เรียกว่า IC Ship ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท โดยเป็นชิ้นส่วนหนึ่งที่ประกอบอยู่ในคอมพิวเตอร์ Taplet และโทรศัพท์ Smartphone ทั้งนี้ คาดว่าผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นจุดขายได้ในอนาคต และเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง 20% และคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตในปีหน้าเป็น  50 ล้านชิ้นต่อเดือน จากปัจจุบันที่มียอดผลิตเพียงเล็กน้อย

ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2556 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ  5% จากปีนี้ที่ทำได้ 4% เนื่องจากในต้นปี 2555 ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทน และนำเงินดังกล่าวไปซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งช่วยทำให้มีกำลังการผลิตที่สูงขึ้น จึงช่วยลดต้นทุนในการผลิต ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นเติบโตและคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

ขณะที่ตั้งงบลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปีหน้าไว้ที่กว่า 300 ล้านบาท รองรับการต่อยอดการผลิต IC เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 2,500 ล้านชิ้นต่อปี จาก 1,500 ล้านชิ้นต่อปี ตามดีมานด์ที่เข้ามา

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/55 บริษัทมีกำไรสุทธิ 552.66 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 530.46 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 22.21 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2554 จากการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่นๆ ในส่วนของเงินชดเชยความเสียหายจากเหตุการณ์อุทกภัย โดยในไตรมาส 3/55 บริษัทรับรู้เงินชดเชยดังกล่าวจากบริษัทประกันเป็นมูลค่า 648.06 ล้านบาท

ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นจำนวน 10.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลดลงของเงินเดือน ค่าขนส่ง และค่าใช้จ่ายของบริษัทย่อย ส่วนกำไรขั้นต้นลดลง 130.86 ล้านบาท เนื่องจากการฟื้นตัวของบริษัท จากความเสียหายที่ได้รับจากการถูกน้ำท่วมในช่วงเดือนเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 54 ยังคงทำได้ไม่เต็มที่

เนื่องจากความล่าช้าของการส่งมอบเครื่องจักรส่วนที่เหลือของผู้ขายเครื่องจักร รายได้ที่ลดลงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ MMA และกลุ่ม IC Packaging

ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ยังคงสูงกว่ารายได้ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นยังเป็นผลขาดทุน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักเช่นเดียวกับการลดลงของผลกำไรในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปี 2555 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น โดยรวมแล้วจึงทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ในปัจจุบัน การซ่อมแซมอาคารและโรงงานได้สำเร็จลุล่วง และคาดว่าจะสามารถติดตั้งเครื่องจักรอีกส่วนหนึ่งเพื่อให้บริษัทกลับมามีกำลังการผลิตเหมือนก่อนที่จะถูกน้ำท่วมได้ภายในไตรมาส 4/55 ในส่วนของเงินชดเชยความเสียหายจากเหตุการณ์อุทกภัยนั้นเมื่อรวมเงินชดเชยความเสียหายที่ได้รับจากบริษัทประกันทั้งในไตรมาส 1, 2 และ 3 แล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,132.06 ล้านบาท บริษัทจะได้มีการรับรู้เงินชดเชยความเสียหายจากเหตุการณ์อุทกภัยเพิ่มเติมต่อไปและคาดว่าจะได้ข้อสรุปค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยภายในปีนี้