เนื้อหาวันที่ : 2012-09-11 11:17:15 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2009 views

เปิดแผนโลจิสติกส์ไทยเชื่อมอาเซียน

ประเทศไทยมีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นศูนย์กลางเนื่องจากมีพรมแดนมากที่สุดในอาเซียน ฉะนั้นจึงต้องเร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งโดยเร็ว

ปัจจุบันต้นทุนการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ของไทยค่อนข้างสูง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติตัดสินใจเลือกลงทุนในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านแทน ดังนั้นเพื่อเตรียมความพร้อมในระบบคมนาคมให้สามารถรับมือต่อการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ.2558 ไทยจึงควรลดต้นทุน โดยการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากทางถนนเป็นระบบรางให้มากขึ้น เนื่องจากต้นทุนในการขนส่งระบบรางต่ำกว่าระบบอื่น ๆ และจะเป็นการสร้างศักยภาพให้กับระบบโลจิสติกส์ของไทย

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวพร้อมย้ำว่า สำหรับการเป็นศูนย์กลางระบบขนส่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประเทศไทยมีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นศูนย์กลางเนื่องจากมีพรมแดนมากที่สุดในอาเซียน ฉะนั้นจึงต้องเร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งโดยเร็ว

และนี่จึงเป็นที่มาของอภิมหาโปรเจ็กต์ แผนลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่ง ปี พ.ศ.2556-2563 วงเงิน 1,990,608.88 ล้านบาท รวม 55 โครงการที่กระทรวงคมนาคมเร่งผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย สาขาการขนส่งทางถนน จำนวน 479,122.10 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.07, สาขาการขนส่งราง จำนวน 1,288,034.96 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.71, สาขาการขนส่งทางน้ำ จำนวน 128,959.82 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.48 และสาขาการขนส่งทางอากาศ จำนวน 94,492.00 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.75

โดยโครงข่ายถนน ประกอบด้วย ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ทางหลวงสายหลักเชื่อมภูมิภาค เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่งสินค้า และสนับสนุนกรอบความร่วมมืออาเซียน โครงการถนนวงแหวนรอบที่ 3 (แนวเส้นทางด้านตะวันออก) ซึ่งจะสามารถรองรับการระบายน้ำเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพฯ, โครงข่ายรถไฟจะเป็นการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานระยะเร่งด่วนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) วงเงิน 176,808 ล้านบาท 

รถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 เส้นทาง ได้แก่ สายเหนือ (กรุงเทพฯ-เชียงใหม่) สายตะวันออกเฉียงเหนือ (กรุงเทพฯ-หนองคาย และกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี) สายใต้ (กรุงเทพฯ-หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์) สายตะวันออก (กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-ระยอง) และโครงการหลักจะเป็นโครงข่ายรถไฟฟ้า 10 สาย, โครงข่ายทางอากาศ โครงการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารเป็น 65 ล้านคนต่อปี โครงข่ายทางน้ำ พัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 และท่าเรือปากบารา เพื่อรองรับการค้ากับอินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป

ดร.จุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า แนวคิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งนั้นจะมองระบบการขนส่งที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจย้อนกลับไป 10 ปีที่ผ่านมา (2543-2553) ซึ่งพบว่าระบบขนส่งสาธารณะยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการได้ ทั้งด้านคุณภาพ ความปลอดภัย ความเพียงพอ จึงยังเลือกรถส่วนตัวเป็นหลัก และมอง 5-8 ปีต่อจากนี้อัตราการขยายตัวการขนส่งสินค้าในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น คาดว่าปี พ.ศ.2564 จะเพิ่มเป็น 1,700 ล้านตันต่อปีจากปัจจุบัน 550 ล้านตันต่อปี และจะเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี พ.ศ.2558

สำหรับเป้าหมายการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ตรงต่อเวลา แก้ปัญหาคอขวด เป็นต้น โดยในปี พ.ศ.2563 ลดต้นทุนการขนส่งสินค้ารวมเฉลี่ยเหลือ 1.8669 บาท/ตัน-กิโลกรัม จากปัจจุบันที่ 1.9949 บาท/ตัน-กิโลกรัม คิดเป็นเงินไม่น้อยกว่า 52,843 ล้านบาทต่อปี เพิ่มปริมาณผู้โดยสารในระบบขนส่งสาธารณะร้อยละ 6 ลดค่าใช้จ่ายสูญเสียจากการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล 80,000 ล้านบาท ประหยัดมูลค่าของเวลาในการเดินทาง 108,000 ล้านบาท ลดต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม 3,600 ล้านบาท และเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางราง จากร้อยละ 2.5 ในปี พ.ศ.2554 เป็นร้อยละ 5 ในปี พ.ศ.2563 เพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางลำน้ำจากร้อยละ 8.5 เป็นร้อยละ 10.5 เพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางชายฝั่งจากร้อยละ 6.0 เป็นร้อยละ 7.5 เพิ่มปริมาณผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จาก 47.4 ล้านคนเป็น 77.3 ล้านคน ลดความสูญเสียจากการใช้น้ำมัน เชื้อเพลิง 155,000 ล้านบาทต่อปี

โดย : จุรีรัตน์ ทิมากูร  รายงาน