เนื้อหาวันที่ : 2012-08-29 14:50:39 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1765 views

มิลล์คอนสตีล ครึ่งปีพุ่ง 16.5% แตะ 8,930 ล้านบาท

มิลล์คอนสตีล อินดัสทรีส์ กลุ่มเหล็กโชว์กำไร 160.71 ลบ. กำไรขั้นต้นพุ่งแตะ 550 ลบ. เป็นปีที่กำไรมากสุดนับแต่ก่อตั้ง

สิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล เชื่อแนวโน้มปีนี้ยังสดใสต่อเนื่อง ได้รับอานิสงส์จากโครงการ Green MILL เต็มๆ ดันรายได้การขายเหล็กทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น ครึ่งปีพุ่ง 16.5% แตะ 8,930 ล้านบาท พร้อมดันอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวจาก 5% สู่ระดับ 7.4%

วันที่  (29 สิงหาคม 2555) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.มิลล์คอนสตีล อินดัสทรีส์ (MILL) เปิดเผยว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงการใช้ระบบโปรแกรมซอฟท์แวร์บัญชีใหม่เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสามารถรองรับการขยายงานในอนาคตพร้อมทั้งเป็นการเพิ่มความรวดเร็วและโปร่งใสในการจัดทำงบการเงินในอนาคตจึงเป็นเหตุให้ MILL นำส่งงบการเงินล่าช้าในไตรมาสนี้

สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวดครึ่งปีแรกนี้ ปรากฎว่ามีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มมากขึ้นโดยมีกำไรสุทธิ 160.71 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2554 ทั้งปี ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 111.53 ล้านบาท และ EBITDA ครึ่งปีแรกของปี 2555 อยู่ที่ 507.3 ล้านบาท ส่วนปี 2554 ทั้งปี อยู่ที่ 606.6 ล้านบาท

นอกเหนือจากการปรับมาใช้ระบบซอฟท์แวร์ใหม่แล้ว ปัจจัยหลักสำคัญอีกประการที่ทำให้ผลประกอบการของ MILL โดดเด่นอย่างมาก มาจาก Green Mill Project ซึ่งเสร็จสมบูรณ์แล้วและผลิตได้ดีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้จากการขายเหล็กทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ในครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 16.5% อยู่ที่ 8,930 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนั้นอัตรากำไรขั้นต้น(Margin) ได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 7.4% เนื่องจากการผลิตที่ต่อเนื่อง ทำให้สามารถประหยัดต้นทุนต่อขนาดได้สูงขึ้นรวมทั้งการควบคุมกระบวนการผลิตที่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนจากการผลิตจากการวางแผนการออกแบบการก่อสร้างโรงงานผลิต Billet และโรงงานเหล็กเส้นที่ระยองให้เชื่อมต่อกันสามารถให้การผลิต Billet ต่อเนื่องไปผลิตเหล็กเส้นได้ทันที ส่งผลให้ต้นทุนการใช้พลังงานลดลงความสามารถในการทำกำไรบริษัทเพิ่มขึ้น

“ภาวะตลาดเหล็กในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ถือว่าเติบโตดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี โดยครึ่งปีแรกของปีนี้ความต้องการเหล็ก (Demand) ในประเทศอยู่ที่ 7.9 ล้านตันเติบโตขึ้น 7% ซึ่งถือว่าภาวะอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศขณะนี้มีการตื่นตัวแตกต่างจากภาพของอุตสาหกรรมเหล็กโลก

โดยเฉพาะในภาคก่อสร้างที่ได้รับการกระตุ้นเศรษฐกิจจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น โครงการรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้าง เป็นต้น พร้อมกับความต้องการใช้เหล็กในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นด้วย และจากการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ บวกกับการปรับระบบซอฟแวร์ใหม่ ทำให้มั่นใจว่าเป้าหมายการทำกำไรของ MILL ในปีนี้จะสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

 เขากล่าวถึงแนวโน้มของตลาดเหล็กในช่วงครึ่งปีหลัง ประเมินว่าการบริโภคเหล็กในประเทศยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นแต่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องและปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อุตสาหกรรมก่อสร้างยานยนต์และเครื่องจักรกลซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆ ที่มีการใช้เหล็กเป็นส่วนประกอบในการผลิต

ส่วนแนวโน้มราคาเหล็กในปีนี้อาจจะมีความผันผวนบางเล็กน้อย โดยในช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค. 2555 คาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวลดลงเล็กน้อยเนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้าง

อย่างไรก็ตาม MILL มีนโยบายบริหารความเสี่ยงด้วยนโยบายการบริหารสินค้าคงเหลือด้วยความระมัดระวังและไม่เก็งกำไรจากความผันผวนของราคา ทั้งนี้คาดว่าการบริโภคเหล็กในปี 2555 นี้จะอยู่ที่ 16.5 ล้านเมตริกตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่มีปริมาณการบริโภค 14.7 ล้านเมตริกตัน