
หลักสูตรการพัฒนาที่ปรึกษาให้มีความรู้ความสามารถในการแก้ปัญหาให้แก่ผู้ขอรับบริการได้ ผู้ที่ต้องการเป็นที่ปรึกษาต้องผ่านหลักสูตรพื้นฐาน
|
หลักสูตรการพัฒนาที่ปรึกษาให้มีความรู้ความสามารถในการแก้ปัญหาให้แก่ผู้ขอรับบริการได้นั้น ผู้ที่ต้องการเป็นที่ปรึกษาอย่างน้อยต้องผ่านหลักสูตรพื้นฐาน และมีโอกาสฝึกอบรมภาคปฏิบัติกับที่ปรึกษาอาวุโสสักระยะหนึ่งในสถานประกอบการ เพื่อได้รับการถ่ายทอดความรู้และเทคนิคต่าง ๆ ให้เกิดความชำนาญและความมั่นใจมากขึ้น สมัยที่ผู้เขียนเริ่มเป็นที่ปรึกษาใหม่ ๆ มีโอกาสดีได้เดินตามผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นหลายท่าน จากโครงการ JICA (Japan International Cooperation Agency) เป็นเวลานับปี หรือที่เรียกว่า OJT (On the Job Training) ทำให้เกิดความมั่นใจ และสร้างความเชื่อมั่นในการให้คำปรึกษาแก่ผู้ขอรับบริการ เพราะกระบวนการให้บริการคำปรึกษาแนะนำนั้น หากมีบางสิ่งที่ผู้ขอรับบริการขาดความมั่นใจในตัวที่ปรึกษาแล้ว กระบวนการให้คำปรึกษานั้นจะยุติลงทันที ถึงแม้ที่ปรึกษาจะมาจากหน่วยงานใดหรือสถาบันการศึกษาใดก็ตาม เพราะความน่าเชื่อถืออยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่าหน่วยงานหรือสถาบันที่ตนสังกัด ดังนั้น อาชีพที่ปรึกษาจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานหรือสถาบันการศึกษาเท่านั้น แต่หากขาดคุณสมบัติของการเป็นที่ปรึกษาที่ดี และมองงานบริการให้คำปรึกษาเป็นเพียงแค่รายได้เสริมหรืองานอดิเรก นอกเหนือจากภาระกิจหลักของตนที่ทำอยู่แล้ว วิชาชีพนี้ก็คงไม่เหมาะกับบุคคลดังกล่าว ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณจะต้องทุ่มเทเวลาและความตั้งให้กับงานที่ปรึกษาอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องจรรยาบรรณเป็นอีกเรื่อง
|
| . |
|
บุคคลที่เหมาะกับหลักสูตรการพัฒนาที่ปรึกษา ควรมีคุณลักษณะ ดังนี้ |
|
1. มีความทะเยอทะยานที่จะเป็นที่ปรึกษามืออาชีพ |
|
2. มีพื้นฐานทางด้านการบริหารที่สามารถประเมินและให้คำแนะนำแก่สถานประกอบการได้ |
|
3. เป็นบุคคลที่สถานประกอบการต้องการให้เป็นที่ปรึกษาภายในองค์กรหรือสนับสนุนกิจการของธุรกิจ |
|
4. มีความทะเยอยานที่จะเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรในอนาคต |
| . |
|
หลักสูตรการพัฒนาที่ปรึกษา ประกอบไปด้วย 3 หลักสูตร คือ |
|
1. หลักสูตรพื้นฐาน |
| 2. หลักสูตรการวินิจฉัยสถานประกอบการ |
| 3. หลักสูตรการปรับโครงสร้างและพัฒนาองค์กร |
| . |
|
โดยเฉพาะหลักสูตรการวินิจฉัยสถานประกอบการจะต้องฝึกอบรมเชิงปฏิบัติในภาคสนามหรือที่เรียกว่า OJT โดยมุ่งเน้นพัฒนาความสามารถของที่ปรึกษาให้เป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง และสามารถปรับโครงสร้างการบริหารขององค์กรให้เหมาะสมตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป |
| . |
| . |
|
รูปที่ 2 แสดงหลักสูตรการพัฒนาที่ปรึกษา |
| . |
|
1. หลักสูตรพื้นฐาน (Base Course) ประกอบด้วยวิชาหลัก ดังนี้ |
|
- การบริหารโรงงาน (Plant Management) |
| . |
|
วัตถุประสงค์ |
|
1. ให้มีความรู้พื้นฐานทางด้านวิศวกรรมอุตสาหการและการผลิต |
|
2. เข้าใจระบบการทำงานในโรงงาน |
|
3. สามารถนำความรู้ไปออกแบบระบบควบคุมการผลิตให้เหมาะสมกับประเภทผลิตภัณฑ์ |
|
4. สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิต ผังโรงงานและระบบส่งกำลังบำรุงได้ |
| . |
|
ความรู้พื้นฐาน |
|
ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการผลิตและการปฏิบัติงานในโรงงาน การวิเคราะห์ปัญหาการผลิต การวางแผนและควบคุมการดำเนินงาน ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ การบำรุงรักษาเครื่องจักร การวางผังโรงงาน และการเคลื่อนไหวในการทำงาน ศึกษาเวลาและการไหลของงาน ตลอดจนผลิตภาพในการผลิตโดยอาศัยหลักการ IE เทคนิค มาช่วยวิเคราะห์การทำงาน การบริหารสินค้าคงคลัง การควบคุมคุณภาพ การประกันคุณภาพ การควบคุมต้นทุน การวิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการผลิต การพัฒนาทักษะให้พนักงานสามารถทำงานได้หลายหน้าที่ ตลอดจนบูรณาการการผลิตกับการขาย |
| . |
|
- การจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management ) |
|
วัตถุประสงค์ |
| 1. สามารถดูแลรักษาและพัฒนาบุคลากร |
| . |
|
2. ออกแบบการทำงานของพนักงานเพื่อสร้างกลยุทธ์ด้านทรัพยากรมนุษย์ |
| . |
|
ความรู้พื้นฐาน |
|
ศึกษาการจัดโครงสร้างองค์กร การวางแผน การอำนวยการ การประสานงาน การติดต่อสื่อสาร การจัดการทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กร เช่น การสรรหา การคัดเลือก การฝึกอบรม สวัสดิการและการจูงใจบุคลากรในการปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ นอกจากนี้ยังวิเคราะห์การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การกำหนดนโยบายและแผนฝึกอบรม การประเมินผลงานและพัฒนาความสามารถพนักงานในด้านสมรรถนะและการสนับสนุนการทำงานของพนักงาน การแก้ไขปัญหาบุคลากร แรงงานสัมพันธ์ กฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ของแรงงาน |
| . |
|
- การบริหารการตลาด ( Marketing Management ) |
| . |
|
วัตถุประสงค์ |
|
1. มีความรู้พื้นฐานด้านการตลาดและออกแบบกลยุทธ์การตลาด |
|
2. เข้าใจการบริหารการขาย |
|
3. เข้าใจการตลาดส่วนผสมตามสถานการณ์ต่าง ๆ |
| . |
|
ความรู้พื้นฐาน |
|
ศึกษาการบริหารการตลาด เทคนิคและเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค การแบ่งส่วนตลาด การพยากรณ์ความต้องการของตลาด โดยอาศัยการวิจัยตลาด การเลือกกล
|
| . |
|
- การบริหารการเงิน (Financial Management) |
|
วัตถุประสงค์ |
|
1. มีความรู้พื้นฐานทางการเงิน |
|
2. มีความเข้าใจการบริหารและวิเคราะห์การเงิน |
|
3. สามารถนำกลยุทธ์ทางการเงินไปประยุกต์ใช้ได้กับสถานการณ์ต่าง ๆ |
| . |
|
ความรู้พื้นฐาน |
|
ศึกษาและวิเคราะห์หลักการบริหารการเงิน และการวางแผนทางการเงิน เงินทุนหมุนเวียน การจัดหาเงินทุน การจัดทำงบการเงิน และนโยบายทางการเงินที่มีผลกระทบต่อมูลค่าของกิจการ วิเคราะห์การเงิน วิเคราะห์จุดคุ้มทุน การบริหารกำไร ขาดทุนและควบคุมต้นทุน ตลอดจนการออกแบบระบบบัญชีธุรกิจ |
| . |
|
- ระบบข้อมูลเพื่อการจัดการ (Management Information System) |
|
วัตถุประสงค์ |
|
1. มีความรู้ในการออกแบบระบบข้อมูลให้สอดคล้องกับการบริหารงาน |
|
2. สามารถแยกความต้องการและเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ระหว่างหน่วยงานภายในองค์กรได้ |
| . |
|
ความรู้พื้นฐาน |
|
ศึกษาระบบข้อมูลและสารสนเทศขององค์กรธุรกิจ การจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่มีอยู่ให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องโดยเสียค่าใช้จ่ายต่ำสุด เพื่อนำเสนอต่อผู้บริหารหรือลูกค้า สร้างระบบและวิเคราะห์ข้อมูลในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ภายในองค์กร |
| . |
|
- การบริหารแผนและกลยุทธ์ (Strategic and Planning Management) |
|
วัตถุประสงค์ |
|
1. สามารถวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์กร |
|
2. สามารถนำความรู้ในแขนงต่าง ๆ มาใช้ในการกำหนดนโยบายและกลยุทธ์ |
|
3. สามารถวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางเลือกกลยุทธ์ในการตัดสินใจ |
| . |
|
ความรู้พื้นฐาน |
|
ศึกษารูปแบบกลยุทธ์และทฤษฎีกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ศึกษารูปแบบความคิดและวิสัยทัศน์ของบริษัท ศึกษาสภาพแวดล้อมต่าง ๆ โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ สังคม การเงิน การตลาด ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี คู่แข่งขัน ตลอดจนวิธีการดำเนินงานของธุรกิจ ศึกษากล
|
| . |
|
2. หลักสูตรการวินิจฉัยสถานประกอบการ (Company Diagnosis Course) |
|
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร |
|
1. เรียนรู้เทคนิคการปรับปรุงและประเมินสถานประกอบการโดยอาศัยความรู้ที่เรียนมาจากหลักสูตรพื้นฐานและประสบการณ์ในภาคปฏิบัติมาประยุกต์ใช้งาน |
|
2. เข้าใจโครงสร้างการบริหารงานของหน่วยงานในสถานประกอบการ เพื่อให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง |
| . |
|
ในทางปฏิบัติของหลักสูตรต้องการให้ที่ปรึกษาที่เข้ารับการฝึกอบรม ได้วินิจฉัยไปพร้อม ๆ กับที่ปรึกษาอาวุโส ที่มีประสบการณ์มากกว่า เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ จากการทำงานจริงมาประยุกต์ใช้กับทฤษฎีที่เรียนมาแล้ว เป็นการพัฒนาที่ปรึกษาให้มีประสบการณ์และสร้างความมั่นใจมากขึ้น ดังรูปที่ 2 |
| . |
| . |
|
รูปที่ 2 แสดงการฝึกอบรมและการให้คำปรึกษาเชิงปฏิบัติการในสถานประกอบการ (ที่มา: Mr. H Suzuki) |
| . |
|
หลักสูตรวินิจฉัยสถานประกอบการประกอบด้วยหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ |
|
1. ด้านการบริหารงานทั่วไป |
|
2. ด้านการขายและการตลาด |
|
3. ด้านการผลิตและเทคโนโลยี |
|
4. ด้านทรัพยากรมนุษย์ |
|
5. ด้านการเงินและการบัญชี |
|
(รายละเอียดของหลักสูตรจะกล่าวในบทต่อไป) |
| . |
| 3. หลักสูตรการปรับโครงสร้างและพัฒนาองค์กร (Company Restructuring & Development) |
|
วัตถุประสงค์ |
|
- เรียนรู้และเข้าใจแนวทางการพัฒนาองค์กรให้มีศักยภาพ |
|
- พัฒนาธุรกิจองค์กรในเชิงกลยุทธ์การบริหารและการตลาด |
|
- ปรับโครงสร้างการบริหารองค์กร การบริหารระบบข้อมูลและกระบวนการผลิต |
|
- พัฒนาบุคลากรและปรับปรุงการบริหารทรัพยากรมนุษย์ สร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ทั้งบุคคลและกลุ่มให้เหมาะสม |
| . |
|
สรุป |
|
สรุปภาพรวมของหลักสูตรการพัฒนาที่ปรึกษา จะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และสะสมประสบการณ์ ให้แก่ที่ปรึกษาในการแก้ปัญหา เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพสถานประกอบการ ในหลักสูตรจะมีโปรแกรมยาวต่อเนื่องตลอดทั้งปี ดังรูปที่ 3 แสดงหลักสูตรการฝึกอบรมประจำปี |
| . |
|
ซึ่งไม่เคยเห็นในบ้านเราสักเท่าไหร่ ดังนั้นการพัฒนาที่ปรึกษาของเราจะไม่พบว่ามีหน่วยงานใดกระทำกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะคนที่จะเข้ามาสู่วงการนี้มีน้อย และเป็นอาชีพที่ไม่ค่อยแน่นอนที่จะพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองได้อย่างยั่งยืน จึงพบว่าที่ปรึกษาส่วนใหญ่มักมาจากบุคลากรในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ยอมรับทางวิชาการมากกว่าบุคคลทั่วไป แต่ในหลายๆ โครงการของภาครัฐที่ผ่านมาพบว่าบุคลากรจากสถาบันการศึกษาบางท่าน ยังขาดประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาให้กับสถานประกอบการ และขาดความพร้อมในด้านเวลาที่ให้แก่สถานประกอบการเท่าที่ควร จึงทำให้ผู้ที่ขอรับบริการต้องผิดหวังและไม่ได้ประโยชน์จากโครงการอย่างเต็มที่ เพราะภาระกิจหลักของบุคลากรเหล่านั้นไม่ใช่เป็นที่ปรึกษาให้แก่สถานประกอบการ หน้าที่หลัก คือ การสอนและงานวิจัยที่มีคุณภาพต่างหาก |
| . |
|
ดังนั้น จึงคาดหวังอะไรจากบุคลากรดังกล่าวไม่ได้ หากเป็นโครงการลงทุนของภาคเอกชนเอง ก็คงเสียค่าใช้จ่ายไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นโครงการของภาครัฐ การสูญเสียงบประมาณแผ่นดินที่เก็บภาษีจากประชาชน มันคุ้มค่าต่อผลลัพธ์ที่ได้หรือไม่ เพราะมันเป็นช่องทางที่บุคลากรของสถาบันการศึกษาบางท่าน อาศัยสถาบันการศึกษาที่ดูดีกว่าบริษัทเอกชนทั่วไป ทำมาหากินแทนที่จะพัฒนาการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ ผู้เขียนเคยได้รับการร้องเรียนจากผู้ขอรับบริการหลายราย จนบางรายต้องขอยกเลิกโครงการก่อนจบโครงการก็มี (ถ้านำเงินเหล่านี้ไปสร้างแท็งค์น้ำหรือห้องน้ำให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนชนบทที่ยากจน น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า) และตราบใดที่หน่วยงานของรัฐยังพยายามคิด ที่จะรวบรวมที่ปรึกษาทั้งหลายมาขึ้นทะเบียน โดยไม่ตรวจสอบความรู้ความสามารถในการเป็นที่ปรึกษาอย่างจริงจัง ก็คงไม่มีความหมายอะไร ถ้าได้ที่ปรึกษาเหล่านี้จำนวนมากที่มีแต่ปริมาณแต่ไร้ความสามารถ |
| . |
|
การที่ปรึกษาโดยทั่วไปมักจะมีลักษณะการทำงานที่สามารถควบคุมการทำงานของตนเองได้เป็นอิสระระดับหนึ่ง ในกระบวนการให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ขอรับบริการนั้น การควบคุมการทำงานของตนเองจะเกี่ยวข้องกับตัวที่ปรึกษาโดยตรง ดังนั้นคุณสมบัติของที่ปรึกษาในด้านประสบการณ์นับว่าเป็นสิ่งสำคัญ และยิ่งไปกว่านั้นที่ปรึกษาบางรายจะมีมาตรฐานเป็นของตนเอง โดยมีรูปแบบและวิธีการเฉพาะตัวที่พัฒนาจากความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมา หลักสูตรการพัฒนาที่ปรึกษาดังกล่าว จึงช่วยพัฒนาทักษะความเป็นที่ปรึกษาให้เป็นมืออาชีพได้มากขึ้น |
| . |
| . |
|
รูปที่ 3 แสดงหลักสูตรการฝึกอบรมประจำปี ที่มา:
|