เนื้อหาวันที่ : 2012-01-24 15:25:56 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1822 views

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ผู้นำด้านเทคโนโลยียนตรกรรม

เมอร์เซเดส-เบนซ์ โชว์ศักยภาพผู้นำด้านเทคโนโลยียนตรกรรมเพื่อการขับเคลื่อนแห่งโลกอนาคต มุ่งยกระดับมาตรฐานนวัตกรรมการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

เมอร์เซเดส-เบนซ์ โชว์ศักยภาพผู้นำด้านเทคโนโลยียนตรกรรมเพื่อการขับเคลื่อนแห่งโลกอนาคต มุ่งยกระดับมาตรฐานนวัตกรรมการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

นับเป็นเวลาถึง 125 ปี ที่ “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ได้จารึกประวัติศาสตร์ไว้บนท้องถนนด้วยการประดิษฐ์รถ “เบนซ์ เพเทนท์ มอเตอร์ คาร์” รถยนต์คันแรกของโลกเมื่อปี ค.ศ. 1886 จากวันนั้นจนถึงวันนี้ “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ยังคงเดินหน้าสรรค์สร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำที่เพียบพร้อมไปด้วยความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำใน 5 ด้าน อันได้แก่

ผู้นำนวัตกรรมด้านการผลิตรถยนต์ ผู้นำนวัตกรรมด้านความปลอดภัย ผู้นำนวัตกรรมด้านความสะดวกสบาย ผู้นำนวัตกรรมด้านดีไซน์ และผู้นำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยียนตรกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของ “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ที่ยังคงมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานของนวัตกรรมการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างยานพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

การสร้างสมรรถนะสูงสุดให้แก่การขับขี่ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาส่วนประกอบต่างๆ ของตัวรถและเครื่องยนต์ ตลอดจนการสร้างสรรค์รถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือกเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงที่มีอยู่จำกัดและเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โลกร้อน ซึ่งกำลังเป็นปัญหาที่สำคัญในปัจจุบัน

          สิ่งสำคัญที่ทำให้ “รถยนต์” สามารถทำงานได้อย่างเต็มสมรรถนะและสมบูรณ์แบบ คงหนีไม่พ้นเทคโนโลยีการขับเคลื่อน อาทิ เครื่องยนต์อันทรงพลัง เทคโนโลยีล้ำสมัยที่ช่วยเสริมการทำงานของระบบเครื่องยนต์ให้มีสมรรถนะดียิ่งขึ้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเป้าหมายสำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในการพัฒนายานยนต์รุ่นต่างๆ โดยในปี 1920 เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พัฒนาเครื่องยนต์เผาไหม้แบบภายในเพื่อใช้กับรถยนต์รุ่นต่างๆ

จากการค้นพบในครั้งนั้น ก่อให้เกิดเทคโนโลยีการอัดบรรจุอากาศแบบ Supercharging ที่ส่งให้รถยนต์รุ่น 6/25 HP และ 10/40HP มีสมรรถนะในการขับเคลื่อนมากยิ่งขึ้น และในปีต่อๆ มา เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงเดินหน้าคิดค้น พัฒนานวัตกรรมเพื่อการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้มาซึ่งยานยนต์ที่มีสรรถนะที่เป็นเลิศ

อาทิ การเปิดตัวรถรุ่น 260D ในปี 1936 ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งโดยสารส่วนบุคคลคันแรกของโลกที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ต่อมาในปี 1954 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เปิดตัวรถยนต์ระดับตำนาน เมอร์เซเดส-เบนซ์ 300SL ที่มีการใช้เครื่องยนต์แบบสี่สูบผสานกับเทคโนโลยีไดเร็คอินเจ็คชั่นเป็นครั้งแรก

          ไม่เพียงเท่านี้การพัฒนาของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งด้วยการพัฒนารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จครั้งแรกในปี 1977 รถยนต์นั่งโดยสารที่ใช้เครื่องยนต์ CDI หรือ (Charge Diesel Injection) ในปี 1997 เรื่อยมาจนถึงเทคโนยี BlueDIRECT เครื่องยนต์สมรรถนะสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งถูกนำมาใช้กับรถบรรทุกในปี 2005 และรถยนต์นั่งโดยสารส่วนบุคคลในปี 2006

          นอกจากเรื่องสมรรถนะการทำงานของเครื่องยนต์แล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามและความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับพลังงานทางเลือกเช่นกัน โดยในปี 1906 เทคโนโลยีไฮบริด (Hybrid) จากพลังงานแบตเตอรี่อิเล็คทรอนิคส์ ได้ถูกคิดค้นขึ้น เพื่อนำมาใช้ควบคู่กับน้ำมันเชื้อเพลิง

ถัดมาช่วงปลายปี 1960 ความก้าวหน้า ในการพัฒนาพลังงานทางเลือก ได้เดินทางมาถึงจุดที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งต่อมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับโลกยานยนต์ครั้งสำคัญด้วยการเปิดตัว NECAR 1 รถที่ใช้พลังงานจากระบบ Fuel Cell ในปี 1994 จากนั้นก็ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง

จนล่าสุดในปี 2010 อิเล็คทริคคาร์ที่ใช้พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิงได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกันถึง 3 รุ่น ได้แก่ A-Class E-Cell, Vito E-Cell และ B-Class F-Cell โดยการสร้างสรรค์รถยนต์ในซีรีส์ต่างๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้นนำมาซึ่งแนวคิด BlueEFFICIENCY ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ นำมาปรับใช้กับการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ ที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพทางด้านสมรรถนะและความรับผิดชอบที่มีต่อสภาพแวดล้อมและทรัพยากรของโลกเข้าด้วยกัน

          ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ สะท้อนให้เห็นได้จากกว่า 600 สิทธิบัตรนวัตกรรมการขับเคลื่อนจากพลังงานไฟฟ้าตั้งแต่ปี 1960 โซลูชั่นต่างๆ ที่ได้ถูกคิดค้นพัฒนาต่างเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับสิ่งแวดล้อมและสังคมให้ดีขึ้น

รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้รับการทดสอบอย่างเข้มงวดมาตั้งแต่ปี 1982 และความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีแบตเตอรี่ของทางบริษัทเป็นผลพวงมาจากการทำวิจัยด้านพลังงานทางเลือกอย่างเข้มข้นมาเป็นเวลาเกือบร้อยปี

ล่าสุดในปี 2008 เราได้ใช้เทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและมีความเหมาะสมกับรถยนต์อิเล็คทริคคาร์แบบไฮบริด โดยรถยนต์รุ่นแรกที่ใช้แบตตารี่ลิเที่ยมไอออนในปี 2009 คือ S400 HYBRID ซึ่งได้รับการตอบรับจากวงการยานยนต์เป็นอย่างดี

          สำหรับปัจจัยสำคัญในการเป็นผู้นำนวัตกรรมระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คือ ทีมวิจัยและพัฒนาที่แข็งแกร่ง โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ มีทีมนักวิจัยและนักพัฒนาเพื่อการค้นคว้า พัฒนา และประดิษฐ์ยานยนต์ล้ำหน้าใหม่ๆ รวมทั้งสิ้นกว่า 18,800 คนทั่วโลก ซึ่งทุกคนล้วน ให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ ความปลอดภัย การลดความสูญเสียจากการขับขี่

ตลอดจนเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร ซึ่งเราได้ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดกับการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจน และมลพิษออกสู่ชั้นบรรยากาศ รวมถึงการจัดการกระบวนการรีไซเคิล ที่ได้มาตรฐานเพื่อช่วยลดภาระด้านสิ่งแวดล้อมให้กับโลก

          ระบบรีไซเคิล ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยรักษาความสมดุลของสภาพแวดล้อม ให้คงอยู่ โดยรถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้รับการออกแบบให้สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้อย่างสะดวกเมื่อหมดสภาพการใช้งาน อาทิ กันชน แผงควบคุมช่วงล่าง โดยถูกออกแบบมาให้เป็นวัสดุที่ถอดออกได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อระบบรีไซเคิล

นอกจากนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังได้เข้าร่วมโครงการการจัดเก็บอะไหล่ ส่วนประกอบต่างๆ ของรถยนต์ เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลอย่างเป็นระบบ โดยในปี 2009 โครงการนี้ได้รวบรวมอะไหล่ของรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ใช้แล้วกว่า 31,064 ตัน นอกจากนี้ยังมีการรวบรวมสารลดความร้อนภายในรถยนต์หรือ Coolant กว่า 1.1 ล้านลิตรและน้ำมันเบรคกว่า 807,000 ลิตร เพื่อนำมาผ่านกระบวนการนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง

          ความเป็นผู้นำของเมอร์เซเดส-เบนซ์จึงไม่ได้หยุดอยู่ที่การเป็นผู้ที่ประดิษฐ์รถยนต์ คันแรกของโลกเพียงเท่านั้น แต่จะอยู่ในทุกความทุ่มเทของการทำงานที่มีมาอย่างยาวนานเป็นระยะเวลากว่า 125 ปี เพื่อรักษาความเป็นเลิศและตอกย้ำความเป็นหนึ่งในทุกๆ ด้าน ไม่เพียงแต่สมรรถนะและคุณภาพของรถยนต์ แต่ยังรวมถึงดีไซน์อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

นวัตกรรมอันล้ำสมัยต่างๆ ที่จะได้รับการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และที่สำคัญ คือ จิตสำนึกสาธารณะที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะยังคงสานต่อพันธกิจเหล่านี้ต่อไปอย่างมุ่งมั่น เพื่อดำรงความแข็งแกร่งของแบรนด์และชื่อเสียงที่มีมา อย่างช้านานในประวัติศาสตร์ยานยนต์ของโลก