เนื้อหาวันที่ : 2011-11-15 14:44:26 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2046 views

พลัส แนะวิธีป้องกันอาคารสูงจากน้ำท่วม

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้น้ำท่วม 1 เดือนไม่กระทบโครงสร้างอาคาร พร้อมผนึกลูกค้าตึกสูงวางแผนรับมือมวลน้ำป้องกันความเสียหาย

          พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้น้ำท่วม 1 เดือนไม่กระทบโครงสร้างอาคาร พร้อมผนึกลูกค้าตึกสูงวางแผนรับมือมวลน้ำป้องกันความเสียหายหวังช่วยลดความเสี่ยงอาคารสูง 500 แห่ง มูลค่า 1 แสนล้านทั่วกรุง

          นายชาญ ศิริรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีจำนวนอาคารสำนักงานหรืออาคารสูงในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในรวม กว่า 500 อาคาร ซึ่งหากอาคารเหล่านี้ประสบอุทกภัยจะก่อให้เกิดความเสียหายทั้งด้านกายภาพอาคารและมูลค่าทางธุรกิจประมาณ 1 แสนล้านบาท ด้วยเหตุนี้ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จึงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการปกป้องอาคารสำนักงานของลูกค้า จึงได้ดำเนินการเชิงรุกเพื่อให้คำปรึกษา ตลอดจนหาแนวทางป้องกันที่คำนึงถึงสภาพและความเสี่ยงของอาคารเป็นสำคัญ

โดยการดำเนินการเพื่อการป้องกันดังกล่าว พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้รับการสนับสนุนจาก บมจ.แสนสิริ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ในการจัดหาวัสดุอุปกรณ์และแรงงานเข้ามาเสริมกำลังการดำเนินการป้องกันอย่างเต็มที่ ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถดำเนินการเชิงรุกทั้งในด้านกลยุทธ์และการสนับสนุนลูกค้าในภาวะวิกฤติเช่นนี้ได้อย่างมีศักยภาพ ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ มีลูกค้าที่ให้บริการด้านบริหารอาคารสูงรวม 30 อาคาร รวมพื้นที่รับบริหารประมาณ 1 ล้านตารางเมตร มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ส่งทีมงานวิศวกรเข้าพบเพื่อหารือและกำหนดแนวทางป้องกันอาคารทั้งอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, อาคารธนาคารกรุงศรีอยุธยา, อาคารทิสโก้ ทาวเวอร์, อาคารวรรณสรณ์, อาคารสิริภิญโญ เป็นต้น

          “ด้านการวางแผนป้องกันอุทกภัยนั้น พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จะพิจารณาปัจจัยความเสี่ยงที่จะอาจจะเกิดขึ้นกับอาคาร ประกอบด้วย 1. ที่ตั้งของอาคาร โดยจะต้องพิจารณาถึงระดับความสูงของพื้นที่เทียบกับระดับน้ำทะเล และบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง และอาคารอยู่ในแนวคลองระบายน้ำ หรือเป็นจุดน้ำท่วมขังหรือไม่

2. กายภาพของอาคาร ซึ่งระบบประกอบอาคารที่สำคัญ ได้แก่ ระบบไฟฟ้า, ระบบประปา, ระบบบำบัดน้ำเสียต่างๆ อยู่ในจุดใดของอาคาร ซึ่งเมื่อพิจารณาจากทั้ง 2 ปัจจัยแล้ว ก็จะสามารถประเมินความเสี่ยงของอาคารเพื่อนำมาวางแผนกลยุทธ์ในการป้องกันได้

โดยจะต้องพิจารณาให้ครอบคลุมทั้งการเผชิญน้ำที่อยู่บนผิวดินและน้ำที่มาจากใต้ดิน ซึ่งจุดที่จะต้องป้องกัน ได้แก่ จุดที่ 1. บริเวณช่องทางเข้า-ออกอาคาร และบริเวณรอบอาคาร จุดที่ 2. ช่องหรือท่อของงานระบบประกอบอาคาร คือ ท่อระบายน้ำ, ช่องลมระบายอากาศ, ท่อระบบไฟฟ้า, ท่อระบบโทรศัพท์ และจุดที่ 3. พื้นที่ที่สามารถเกิดการรั่วซึมได้ คือ บริเวณสวนรอบอาคาร รอยแตกของพื้น และผนังของอาคาร” นายชาญ ศิริรัตน์ กล่าวถึงปัจจัยที่พึงระวังในช่วงอุทกภัย

          ทั้งนี้ เทคนิคการป้องกันที่ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสรุปโดยคร่าวเพื่อใช้เผยแพร่เป็นความรู้แก่อาคารสูงทั่ว กทม. ประกอบด้วย การทำแนวป้องกันพื้นที่โดยรอบ ต้องพิจารณาจากระดับพื้นที่ตั้งของอาคาร โดยประเมินเทียบกับปริมาณน้ำที่จะเข้ามาท่วมว่ามีความสูงเท่าใด ซึ่งมีหลักการการจัดทำผนังกั้นน้ำนั้นจะต้องมีความสูงที่สัมพันธ์กับฐานความกว้าง คือ 1 : 3 เพื่อให้แนวป้องกัน/ผนังกั้นน้ำนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงพอ

การป้องกันน้ำที่จะเข้าตัวอาคารผ่านช่องทางงานระบบฯ จะต้องทำการป้องกันโดยเฉพาะในส่วนของท่อระบายน้ำโดยใช้วัสดุที่สามารถลดการซึมผ่านและทนแรงกดของน้ำได้ และในส่วนของท่องานระบบอื่นๆ และรอบแตกของพื้นผิวและผนังนั้นควรใช้การปิด (Seal) ด้วยการยิงโฟม เมื่อดำเนินการจัดทำแนวป้องกันตามข้างต้นแล้ว ก็จะต้องดำเนินการจัดเตรียมอุปกรณ์ในขั้นตอนต่อไป

ซึ่งอุปกรณ์ที่จัดหาต้องเป็นอุปกรณ์ประเภทช่วยเสริมการป้องกันน้ำที่เข้ามาภายในอาคาร ได้แก่ เครื่องสูบน้ำ ทั้งแบบไฟฟ้าและเครื่องยนต์ ที่มีขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อเพิ่มความเร็วในการระบายน้ำ น้ำมันสำรองสำหรับการเดินระบบไฟฟ้าสำรองของอาคาร โดยกำหนดให้ใช้ได้ในระยะ 2-3 วัน เพื่อรองรับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น และการเตรียมแผนสำหรับการตัดระบบไฟฟ้าของอาคาร เพื่อความปลอดภัย

          “การเกิดน้ำท่วมมีผลกระทบต่ออาคารสูงทั้งเรื่องการหยุดชะงักทางธุรกิจและด้านการชำรุด/เสียหายทางกายภาพ (งานโครงสร้างและงานระบบประกอบอาคาร) ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ จะขึ้นอยู่กับความสูงบวกรวมกับความแรงของน้ำ และระยะเวลาที่น้ำท่วม ดังนั้น หลังน้ำลดจะต้องมีการกำหนดมาตรการฟื้นฟูอาคารเพื่อให้อาคารกลับมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างรวดเร็วที่สุด

โดยมาตรากรฟื้นฟูอาคารหลังน้ำลดนั้นต้องกำหนดเป็นแผนการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนเริ่มจาก 1. ดำเนินการตรวจสอบด้านกายภาพอาคาร เพื่อวิเคราะห์ถึง งานที่มีความจำเป็นต้องซ่อมแซมเพื่อแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว และงานที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต เช่น การสร้างแนวป้องกันที่เหมาะสม 2.ประมาณการระยะเวลาและงบประมาณดำเนินการ 3. การทบทวนแผนบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ต้องมีความต่อเนื่อง”

          “อย่างไรก็ตาม หากน้ำท่วมเป็นระยะเวลา 1 เดือนตามที่นักวิชาการและหน่วยงานวิชาการต่างๆ ประมาณกันนั้น ก็ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างของอาคารสูงของกรุงเทพฯ ชั้นใน ยกเว้นอาคารที่อาจมีปัญหาจากงานก่อสร้างครั้งแรกหรือมีการแก้ไข ต่อเติมอาคารอย่างไม่ถูกหลักวิศวกรรม” นายชาญ ศิริรัตน์ กล่าว