เนื้อหาวันที่ : 2011-09-23 09:02:45 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2072 views

ปอร์เช่เผยโฉม 911 คาร์เรร่า ใหม่

ปอร์เช่เปิดตัว 911 คาร์เรร่า รถยนต์สปอร์ตเต็มพิกัดใหม่ล่าสุด รูปลักษณ์ที่โดดเด่นและดึงดูดทุกสายตา ด้วยรูปทรงที่ทรงพลังและแข็งแกร่ง

          ปอร์เช่เผยโฉมรถใหม่ในงานมหกรรมยานยนต์ IAA Frankfurt Motor Show 2011 ปอร์เช่ดึงดูดทุกสายตาด้วย 911 คาร์เรร่า ใหม่ล่าสุด

          ปอร์เช่เปิดตัว 911 คาร์เรร่า (911 Carrera) รถยนต์สปอร์ตเต็มพิกัดใหม่ล่าสุดอย่างเป็นทางการในงานมหกรรมยานยนต์ ไอเอเอ แฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ (IAA Frankfurt Motor Show) รถยนต์สปอร์ตเต็มรูปแบบคันนี้มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและดึงดูดทุกสายตาให้ต้องหันมามอง ด้วยรูปทรงที่ทรงพลังและแข็งแกร่ง

อีกทั้งรายละเอียดต่างๆของรถนั้นได้รับการออกแบบให้มีความเพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ แม้เพียงแรกเห็น 911 ใหม่คันนี้ก็จะพบกับความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ตามรูปแบบของ 911 ทุกประการ

หลักการการออกแบบของรถคันนี้ได้ทำตามต้นแบบ 911 เหมือนที่ผ่านๆ มา นั่นคือกล้ามเนื้อของรถที่ทำให้เห็นถึงความทรงพลังและสง่างามนั่นเอง ฐานล้อได้รับการขยายให้กว้างขวางมากขึ้นถึง 100 มิลลิเมตร (3.94 นิ้ว) และลดความสูงของรถพร้อมเสริมความแข็งแกร่งดุดันด้วยการติดตั้งล้อขนาด 19 นิ้ว ให้เป็นมาตรฐานกับรถด้วยเช่นกัน

          911 ใหม่คันนี้ยังได้สร้างมาตรฐานและสถิติใหม่เกี่ยวกับสมรรถนะและประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และรถยนต์มาประดับตลาดรถสปอร์ตได้อย่างเหนือชั้น คูเป้ทุกรุ่นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงอย่างมาก เรียกได้ว่าน้อยกว่า 10 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรเลยทีเดียว อัตราการปล่อย CO2 นั้นลดลงกว่ารุ่นเดิมถึง 16 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ขุมพลังสูงสุดในรุ่นคาร์เรร่านั่นอยู่ที่ 350 แรงม้า (275 กิโลวัตต์) และขุมพลังเหล่านี้ได้ถูกส่งออกมาจากเครื่องยนต์ขนาด 3.4 ลิตร แบบลูกสูบเรียงนอน

และหากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ Porsche Doppelkupplungsgetriebe (PDK) แล้วจะทำให้อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำลงอยู่แค่เพียง 8.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรเพียงเท่านั้น (ตามรูปแบบการขับขี่แบบ NEDC) หรือเรียกได้ว่าน้อยกว่ารุ่นเดิมถึง 1.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรเลยทีเดียว สำหรับอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถือได้ว่าปอร์เช่รุ่นนี้คือรถสปอร์ตปอร์เช่รุ่นแรกที่มีอัตราที่ต่ำกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตรเลยทีเดียว

          สำหรับรุ่น คาร์เรร่า เอส (Carrera S) จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตร ลูกสูบเรียงนอน สามารถผลิตขุมพลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 400 แรงม้า (294 กิโลวัตต์) หากติดตั้งระบบเกียร์ PDK ด้วยนั้นจะส่งผลให้อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงหากเทียบกับรุ่นเดิมถึง 14 เปอร์เซ็นต์ หรือต่ำลงถึง 1.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (8.7 ลิตร/100 กิโลเมตร) ในขณะที่มีขุมพลังเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้นถึง 15 แรงม้า (11 กิโลวัตต์) อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั่นอยู่ที่ 205 กรัมต่อกิโลเมตร

          ตัวรถได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดด้วยการใช้โครงสร้างรถที่ทำมาจากเหล็กอลูมิเนียมที่ทำให้รถมีน้ำหนักที่ลดลงถึง 45 กิโลกรัม ระบบควบคุมการทรงตัวที่ได้รับการพัฒนาขึ้นและส่งผลให้การขับขี่นั้นมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ระบบพวงมาลัยแบบ electro-mechanical ใหม่ล่าสุด ส่งผลให้ปอร์เช่คันนี้มีความแม่นยำและตอบสนองได้ดีเยี่ยม และช่วยให้ประหยัดน้ำมัน

ระบบเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะได้รับการติดตั้งให้กับรถยนต์รุ่นนี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และระบบเกียร์นี้ถือได้ว่าระบบเกียร์นี้เป็นระบบเกียร์ธรรมดาที่มีระดับเกียร์ถึง 7 จังหวะเป็นครั้งแรกของโลกอีกด้วย ระบบเร่ง/หยุดอัตโนมัติ (Auto start/stop) ระบบการจัดการความร้อน (thermal management) และระบบ electrical system recuperation ได้รับการติดตั้งเสริมเข้าไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพ รวมไปถึงเพิ่มสมรรถนะให้กับรถคาร์เรร่าใหม่ล่าสุดนี้เช่นกัน

          พานาเมร่า ดีเซล (Panamera Diesel) คือปอร์เช่อีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานมหกรรมยานยนต์ ไอเอเอ แฟร้งเฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2011 (IAA Frankfurt Motor Show 2011) ด้วยเช่นกัน ปอร์เช่รุ่นนี้ถือได้ว่าเป็นปอร์เช่ แกรน ทัวริสโม่ ที่มีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยอดเยี่ยม ด้วยถังน้ำมันที่มีความจุ 80 ลิตรนี้สามารถทำให้แกรน ทัวริสโม่ คันนี้ทะยานไปข้างหน้าได้ไกลถึง 1,200 กิโลเมตร (น้ำมันเต็มถัง) เลยทีเดียว

ถือได้ว่าเป็น จีที ซาลูนที่ประหยัดน้ำมันได้อย่างเหลือเชื่อ อัตราการบริโภคน้ำมันดีเซลอยู่แค่เพียง 6.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรเพียงเท่านั้น การขับขี่ที่คล่องตัวและราบรื่นได้มาจากเครื่องยนต์ขนาด 3 ลิตร V6 และมีขุมพลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 250 แรงม้า (184 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 550 นิวตันเมตร ส่วนขุมพลังของเครื่องยนต์นี้จะถูกส่งผ่านด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะนั่นเอง

          อีกรุ่นที่ได้รับการเปิดตัวคือ 911 จีที3 อาร์เอส 4.0 (911 GT3 RS 4.0) ที่ถือได้ว่าเป็นปอร์เช่ที่โด่งดังมากที่สุดในเรื่องของสายเลือดของความเป็นรถแข่งที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ซึ่งมีจำนวนจำกัดเพียง 600 คันเท่านั้น เครื่องยนต์รูปแบบสปอร์ตคันนี้มีขนาด 4 ลิตร ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ 911 เคยมีมา และมีขุมพลังเครื่องยนต์ถึง 500 แรงม้า (368 กิโลวัตต์) อีกทั้งยังสร้างประวัติศาสตร์และสถิติที่สำคัญด้วยการวิ่งรอบสนามแข่ง Nürburgring-Nordschleife circuit ได้ในเวลาเพียงแค่ 7:27 นาทีเพียงเท่านั้น

          เคย์แมน เอส แบล็ค อิดิชั่น (Cayman S Black Edition) คืออีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับการเปิดตัว ปอร์เช่รุ่นนี้มีจำนวนจำกัดที่ 500 คันเพียงเท่านั้น คูเป้คันนี้มีความโดดเด่นเป็นพิเศษโดยทุกชิ้นส่วนนั้นจะเป็นสีดำ เครื่องยนต์วางกลางและมีสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นเคย์แมน เอส (Cayman S) อีกด้วย เครื่องยนต์ขนาด 3.4 ลิตร 6 สูบเรียงนอน ขุมพลังเพิ่มขึ้นถึง 10 แรงม้า นั่นคือขุมพลังเครื่องยนต์สูงสุดที่ 330 แรงม้า (243 กิโลวัตต์) อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลาเพียง 5.1 วินาทีเท่านั้น หากติดตั้งเกียร์ธรรมดา และหากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ Porsche Doppelkupplungsgetriebe (PDK)แล้วนั้น อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะใช้เวลาเพียงแค่ 5.0 วินาทีเท่านั้น

          ไม่เพียงเท่านี้ ปอร์เช่ยังได้เผยโฉมรถที่เกิดจากแนวคิด Porsche Intelligent Performance และยังเป็นรุ่นที่พิสูจน์ให้เห็นถึงการผสมผสานความเป็นเอกลักษณ์แบบดั้งเดิมเข้ากับโลกแห่งอนาคตได้อย่างลงตัว ด้วยการเผยโฉม บ็อกซ์เตอร์ อี (Boxster E) รถยนต์ไฮบริดเต็มรูปแบบออกมาให้ยลโฉมด้วยเช่นเดียวกัน และอีกรุ่นที่ได้รับการเผยโฉมคือ รถยนต์รุ่นที่เป็นตำนานกล่าวขานมาอย่างยาวนานนั่นคือ Semper Vivus ที่เป็นรถยนต์ไฮบริดเต็มรูปด้วยเช่นกัน มอเตอร์ไฟฟ้าจะติดตั้งอยู่ที่เพลาหน้าและเพลาหลัง รถจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ

          อีกทั้งยังให้ความคล่องตัวรวดเร็วในการขับขี่เหมือนกับรุ่น บ็อกซ์เตอร์ เอส (Boxster S) เลยทีเดียว รถยนต์ต้นแบบที่เป็นรถพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบที่ได้รับการค้นหาและพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันนั้นยังได้รับการนำเสนอในงานนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ระบบการขับเคลื่อนจะทำการขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง และทำการนำเสนอว่ารถคันนี้จะใช้พลังงานจากไฟฟ้าอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการชาร์จแบตเตอรี่อีกด้วย

          ความภูมิใจที่ได้สร้าง “Semper Vivus” ใหม่ขึ้นมาอีกครั้งได้กำเนิดขึ้น เนื่องจากรถยนต์รุ่นนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์มาแล้วในอดีต รถยนต์รุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นโดย Ferdinand Porsche ในปี 1900 ซึ่งถือได้ว่าเป็นรถยนต์ไฮบริดคันแรกเลยทีเดียว การออกแบบรถคันนี้ได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และเกิดจากความร่วมมือและการทำงานร่วมกันระหว่างวิศวกรปอร์เช่และบริษัท Karosseriebau Drescher ในเมือง Hinterzarten (เยอรมนี)