เนื้อหาวันที่ : 2011-08-08 11:11:31 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1115 views

ภาวะเศรษฐกิจประจำวันที่ 8 ส.ค. 2554

1. ไฟเขียวต่างชาติลงทุนไทยเพิ่ม 41 ราย โกยเงินลงทุนเกือบ 1.4 พันล้านบาท 
          -  กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเปิดเผยว่า ในเดือนก.ค. 54 คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวได้อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจในไทยได้เพิ่มอีก 41 ราย โดยเป็นธุรกิจที่ต้องใช้ความรู้ความชำนาญเฉพาะด้าน ซึ่งมีเงินทุนที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ 1,379 ล้านบาท และมีการจ้างงานคนไทย 609 คน โดยประเทศที่เข้ามาลงทุนอันดับ 1 คือ ญี่ปุ่น มีสัดส่วน 49% ของจำนวนที่อนุญาต รองลงมาคือ สิงคโปร์ สัดส่วน 13% และจีน สัดส่วน 8%

          -  สศค. วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันอัตราการว่างงานของไทยเดือนมิ.ย. 54อยู่ที่ระดับร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ถือเป็นระดับที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากภาคธุรกิจยังมีการจ้างงานสูงตามการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย แต่ในบางสาขาการผลิตมีแนวโน้มของภาวะแรงงานตึงตัว โดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะในภาคอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ การเข้ามาลงทุนในไทยของผู้ประกอบการต่างด้าวจะมีผลดีต่อการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) ให้แก่คนไทย ซึ่งไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถของแรงงานเพื่อตอบรับต่อการขยายตัวของภาคธุรกิจ ควบคู่กับการพัฒนาฐานรายได้แรงงานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงาน และควรมีการกำหนดให้ผู้ประกอบการต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจในไทยมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการจัดอบรมแก่พนักงานย่างมีระบบและสม่ำสเมอ

2. เตือนรัฐบาลใหม่เร่งแก้ปัญหาสินค้าแพง 
          -  เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า โจทย์ใหญ่สำหรับรัฐบาลใหม่ คือ การเร่งแก้ปัญหาราคาสินค้าแพง โดยเฉพาะราคาสินค้าอาหาร ทั้งหมวดเนื้อสัตว์และพืชผัก ยกตัวอย่างเช่น ราคาเนื้อหมูปัจจุบันได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ กก.ละ 160 บาท จากราคา 108-110 บาท ในเดือน ก.พ. 54 เป็นต้น ทั้งนี้ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้แนะนำว่า รัฐบาลควรมีมาตรการรองรับ โดยไม่ควรใช้วิธีการควบคุมราคาที่ปลายทางเพียงอย่างเดียว เพราะมีปัญหาสินค้าหายไปจากตลาด อย่างเช่นกรณีน้ำมันปาล์มในอดีต

          -  สศค. วิเคราะห์ว่า ในเดือน ก.ค. 54 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 4.1 โดยเป็นผลมาจากการเร่งตัวขึ้นของราคาสินค้าประเภทอาหารสำเร็จรูปเป็นสำคัญ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารสำเร็จรูปเกิดจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะ ราคาเนื้อสุกร เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ที่ขยายตัวที่ร้อยละ 12.02 และราคาเครื่องประกอบอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้นที่ร้อยละ 12.89 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อใน 7 เดือนแรกอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.64 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในช่วงที่เหลือของปี แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อน่าจะปรับตัวสูงขึ้นอีกจากราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ประกอบกับนโยบายการใช้จ่ายภาครัฐในอนาคต ซึ่งสศค.ได้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี 54 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.8 

3. มูดีส์ คาดตลาดการเงินถูกกระทบจากข่าว S&P หั่นเครดิตสหรัฐแค่ในระยะสั้น
          -  การนายมาร์ค แซนดี หัวหน้านักวิเคราะห์ของมูดีส์ อนาไลติกส์ แสดงความเห็นว่า ข่าวสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ จากระดับ AAA สู่ระดับ AA+ พร้อมให้แนวโน้มเชิงลบ โดยระบุถึงปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองและปัญหาหนี้สินที่เพิ่มมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อภาวะการซื้อขายในตลาดการเงินและเศรษฐกิจทั่วโลก อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดการเงินและเศรษฐกิจมหภาคจะได้รับผลกระทบแค่ในระยะสั้นๆเท่านั้น เนื่องจาก มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส และฟิทช์ เรทติ้งส์ ยังประกาศคงอันดับเครดิตของสหรัฐไว้ที่ AAA ซึ่งจะช่วยลดความวิตกกังวลของนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง

          -  สศค. วิเคราะห์ว่า จากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ของ S&P อาจส่งผลทำให้ต้นทุนการเงินของทั้งภาครัฐและเอกชนเพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนผลักดันให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถอยในระยะยาวได้ หากสหรัฐฯ ไม่สามารถดำเนินการปรับลดการขาดดุลงบประมาณที่เป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ 

ทั้งนี้ ปัญหาเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากสหรัฐมีสัดส่วน GDP ประมาณร้อยละ 15 ของโลก อีกทั้งส่งผลกระทบต่อไทยผ่านการค้าระหว่างประเทศ โดยประเทศสหรัฐเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยลำดับที่3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.3 ของการส่งออกไทยโดยรวม

ซึ่งสินค้าที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน  อย่างไรก็ดี ทิศทางการส่งออกไทยยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น อาทิ ทิศทางของเศรษฐกิจเอเชีย นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ของไทย และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก เป็นต้น

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง