เนื้อหาวันที่ : 2011-07-29 15:20:37 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2884 views

แค่คิดนั้น...มันไม่ถึง

การผัดวันประกันพรุ่งคือโจรขโมยเวลา เมื่อเวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ โอกาสดีดีก็จะพลอยพลาดไปด้วย

พระมหาประสิทธิ์

           ในช่วงพฤษภาคมประเทศไทยมีฤดูมรสุมหนึ่งซึ่งพิเศษกว่าที่อื่น ก็คือ ฤดูกาลแห่งการจบและแรกเริ่มการศึกษา ซึ่งผลกระทบเทียบได้กับพายุย่อมๆ ที่กระพือพัดไปทั้งแผ่นดินไทย ทำให้ใครหลายคนต้องเดือดร้อนวุ่นวาย หรือแม้กระทั่งเสียทรัพย์สิน ต้องจำนำรถ ขายเครื่องใช้ในบ้าน เพื่อที่จะนำมาจ่ายค่าอะไรต่างๆ มากมาย เพื่อให้บุตรหลานเข้าเรียนในสถานศึกษาที่ปรารถนา 

          คนจบใหม่ก็ไม่ต่างกัน อยากได้งานดีหรือมีที่บรรจุก็อาจจะต้องจ่ายหนักสักหน่อย หลังจากเรียนฟรีแบบติดหนี้รัฐบาลแล้วยังต้องกู้เขามาจ่ายเพื่อให้ได้งานอีก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ชีวิตนี้จะไร้หนี้สักที ค่าเรียนแพง ใต้โต๊ะโหด ค่าครองชีพสูง แต่เงินเดือนต่ำ เข้ากันดีเหลือเกิน 

           แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อยากให้ท้อถอย มุ่งมั่นก้าวต่อไป เพราะใครหลายคนต้องดิ้นรนต่อสู้มากกว่าเราเยอะแยะ นึกถึงข่าวน้ำท่วมแผ่นดินไหว ภัยสงครามตามหน้าหนังสือพิมพ์เราจะเห็นว่ามีผู้คนมากมายที่พ่ายแพ้แต่ยังปีนป่ายเพื่อให้ตนเองผ่านพ้นช่วงความช้ำของชีวิตด้วยหวังว่าสักวันจะมีชีวิตที่แช่มชื่น แม้ไม่แน่ใจว่าจะไปถึงหรือเปล่า แต่ก็เอาจังหวะหัวใจเป็นที่ตั้งว่าถ้ามันยังเต้นอยู่ โอกาสจะสมหวังก็น่าจะยังมี

           เป็นห่วงก็แต่คนที่ได้รับโอกาส แต่พลาดเพราะประมาทในชีวิต คิดถึงความสำเร็จความสุขแต่สนุกเพลินจนลืมว่า “แค่คิดนั้นมันไม่ถึง” ได้ที่เรียนแต่ไม่เพียรศึกษา ได้ปริญญาแต่ไม่หางาน มีงานแต่ไม่ตั้งใจทำ เช้าชามเย็นชามแต่ก็ถามหาโบนัสตลอด หวังจะก้าวหน้าแต่ว่าไม่ก้าวสักที อย่างนี้มีให้เห็นเยอะมาก ทั้งชีวิตการเรียนและการทำงาน ถ้าไม่ขยันก็ไม่มีวันสำเร็จ

          คนที่ทำงานไม่จริงจัง ชอบผัดวันประกันพรุ่งอยู่เสมอนั้นยากที่ชีวิตจะพบเจอกับความรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน  เป็นได้แค่เพียงทางผ่านของกลไกแรงงาน ซึ่งจะคัดคนออกจากระบบด้วยการวัดระดับการทำงานผ่านกระบวนการประเมินผลงาน 

           การผัดวันประกันพรุ่งคือโจรขโมยเวลา เมื่อเวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ โอกาสดีดีก็จะพลอยพลาดไปด้วย เช่น โอกาสที่จะได้งานใหม่ที่ดีกว่า โอกาสที่จะทำโอทีได้ค่าแรงเพิ่ม โอกาสที่จะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว หรือคนรัก และโอกาสที่จะได้ทำอะไรดีๆ ให้กับชีวิต ฯลฯ
ในขณะที่เราต้องนั่งเคลียร์งานเก่าที่น่าจะทำเสร็จนานแล้ว คนอื่นๆ เขาอาจกำลังใช้โอกาสซึ่งบางทีอาจเป็นของเราด้วยซ้ำ คนที่ปรารถนาความก้าวหน้าในชีวิต จึงไม่ควรทำให้งานคั่งค้าง การสะสมอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ท่านเรียกว่า “ดินพอกหางหมู”

          พอกพูนงานให้ค้างคา พอกพูนหนี้สินให้ล้นตัว หรืออะไรในทำนองเดียวกัน เหล่านี้เป็นเพราะการบริหารจัดการชีวิตไม่ลงตัว ซึ่งมีลักษณะต่างๆ ดังนี้

           ๑. ทำงานไม่ถูกเวลา คือทำงานในเวลาที่ไม่เหมาะสม เช่น แดดออกไปถูบ้าน แต่พอฝนตกกลับจะซักผ้า ฝนซาก็ไปรดน้ำต้นไม้ หรือเปิดเทอมมาก็หาเที่ยวเตร่ แต่ใกล้สอบเร่งอ่านหนังสือ แบบนี้มันก็คงทำข้อสอบไม่ได้ ซึ่งบ่อยครั้งความสำเร็จมากับความเหมาะเจาะของจังหวะและเวลาที่เราได้กำหนดไว้หรือวางแผนปูทางมาแล้ว สถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลาอาจมีเหตุปัจจัยที่ผันแปร แต่ถ้าเห็นความเป็นไปที่เกี่ยวโยงเชื่อมต่อกันของ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต มีวิจารณญาณที่กลั่นกรองข้อมูลมาเป็นอย่างดี บวกกับการกระทำที่สรรค์สร้างด้วยความวิริยะอดทน พอได้จังหวะที่กะไว้แล้วอย่างแม่นยำ แถมลงมือทำฉับพลันอย่างเฉลียวคิดฉลาดทำ ก็จะเป็นบทรับประกันความสำเร็จได้เป็นอย่างดี

          ๒. ทำงานไม่ถูกวิธี คือทำผิดขั้นตอน เช่น กวาดพื้นก่อนค่อยปัดเพดาน ก็ทำให้เวลาการทำงานนานขึ้นและขาดประสิทธิผล ซึ่งบางทีไม่ใช่ไม่รู้แต่ขาดความตระหนักนึกให้ถี่ถ้วนเท่านั้นเอง ในบางกรณีอาจทำให้งบประมาณการทำงานบานปลายเพราะต้องรื้องานทำใหม่ ทำให้เกิดความเสียหายมากมาย บ่อยครั้งที่พบว่าเรานั้นเสีย “ค่าโง่” ไปกับการหลบเลี่ยงแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อเสี่ยงในทางเบี่ยงที่ลาดชันสุดท้ายทางลัดกลายเป็นซอยตัน หยุดไม่ได้ไปไม่ถึง จบอนาคตตนเองไปอย่างน่าเสียดาย คนที่หวังความสำเร็จที่ยั่งยืน จึงต้องพิจารณาให้ดี “วิธีที่ดีต้องมีคำตอบที่ถูกต้องด้วย”

           ๓. รับงานมากเกินไป ไม่ประเมินกำลังตนเอง อาจเป็นเพราะอยากได้มากเกินไป จึงรีบรับไว้ก่อนสุดท้ายก็ทำไม่ทัน ผลที่ได้นั้นอาจเสียหายกว่าที่คิด ถ้าคู่ค้าไม่เชื่อใจหรือชื่อเสียงขยายไปในทำนองส่งงานช้าไม่ตรงกำหนด เหมือนคนที่หิวมากๆ แล้วเร่งทานและทานเผื่อหิวไว้เยอะเกินไป หรืออาหารอร่อยเลยทานอย่างไม่รู้จักอิ่ม รู้ตัวอีกทีก็อึดอัดแน่นท้องเพราะอาหารไม่ย่อยซะแล้ว บางคนเข้าใจว่าการรู้จักประมาณนั้นคือความมักน้อย ที่จริงแล้วการประมาณให้พอดีบางทีผลของมันอาจทวีคูณกว่าที่คิดเยอะ ฉะนั้นมักมากหรืออยากได้มากต้องรู้จักพอดี ความพอเหมาะจะช่วยเสริมไม่ให้เปราะง่าย ความมั่นคงคือฐานรับของความยั่งยืน อยากขยายกิจการหรืองานให้มากๆ ก็ต้องวางฐานให้มั่นคงและจัดระบบงานให้เคลื่อนไหวอย่างไหลลื่น ไม่สะดุดหรือค้างคาเพื่อให้งานเก่าไปมีพื้นที่ให้งานใหม่เข้ามา 
 

           ๔. มักมีข้ออ้าง เช่น ยังเช้าอยู่ อีกนิดหน่อย แป๊บเดียวเอง พรุ่งนี้ยังทัน ฤกษ์ยังไม่ดี ฯลฯ แล้วก็ไม่ทำงานสักที พอจะเร่งก็ใกล้หมดเวลาแล้ว เหมือนนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า ซึ่งต่อให้วิ่งได้เร็วขนาดไหนก็ไม่ทันเพราะก้าวที่กระต่ายรู้ตัวนั้น มันเป็นก้าวที่เต่ากำลังจะเข้าเส้นชัย อาจเป็นเพราะถูกความเกียจคร้านครอบงำ ทำให้ไม่อยากจะทำงานเลยหาข้ออ้างไปเรื่อย สุดท้ายก็ทำงานไม่เสร็จ ผู้เขียนเคยโดนดุว่า “อย่าบ่นและจงทำงานของตัวเองไป” นั่นเป็นเพราะบ่นไปแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้งานเสร็จไวขึ้น แต่มันเป็นการบ่นเพราะรู้สึกขี้เกียจจึงทำไปงั้นๆ ประมาณว่า “ทำไปบ่นไป” ปรากฏว่ากว่าจะเสร็จต้องแก้ไขใหม่ตั้งหลายรอบ  

          อาจเป็นคำแนะนำพื้นๆ แต่ยังไงใจก็อยากจะบอกว่า “ทำงานให้เสร็จแล้วความสำเร็จจะอยู่กับท่าน”

           ในมงคลสูตรมีอยู่ข้อหนึ่งท่านว่า อนากุลา จ กมฺมนฺตา แปลว่า การทำงานไม่คั่งค้าง ดังนั้นแล้ว การทำงานให้สำเร็จลุล่วงถือว่าเป็นมงคลชีวิตอย่างหนึ่งเลยทีเดียว และแน่นอนไม่มีเจ้านายคนไหนต้องการคนที่ทำอะไรไม่เสร็จสักทีดังกลอนสุภาษิตเตือนใจดีๆ บทนี้ว่า 

          หมูปวกเปียกขี้เกียจปัดปลดปล่อย    
ดินจากน้อยค่อยมากหนักนักหนา
นอนเกลือกกลิ้งคลุกโคลนคร่ำค้างคา     
จนกายาลุกไม่ขึ้นค่อยคลี่คลาย
          เปรียบดั่งคนการงานไม่ยอมทำ     
เฝ้าตรากตรำเมื่อจวนเจียนเวลาหมาย
หากยังทำเช่นนี้ต้องเหนื่อยกาย   
สิ้นสบายเพราะดินพอกหางหมู

            หลังจากเขียนบทความนี้เสร็จให้เพื่อนท่านหนึ่งอ่าน สะท้อนออกมาว่า “เขียนสอนตัวเองเหรอ” !!!

 ขอบคุณบทความดี ๆ จาก Add Free Magazine