เนื้อหาวันที่ : 2011-06-27 17:25:17 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1655 views

เอกชนหวังรบ.ใหม่แก้ขัดแย้งเพื่อนบ้าน ดึงมืออาชีพขับเคลื่อนประเทศ

ภาคเอกชนฝากการบ้านรัฐบาลใหม่ เร่งแก้ปัญหานำพาประเทศชาติ สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน พร้อมแก้ปัญหาความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน

          ภาคเอกชนฝากการบ้านรัฐบาลใหม่ เร่งแก้ปัญหานำพาประเทศชาติ สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน ‘ผลิตภัณฑ์ตราเพชร’ กระตุ้นรัฐเร่งแก้ปัญหาความขัดแย้งเพื่อนบ้านและลดปัญหาความรุนแรงชายแดนใต้ ดันนักการเมืองเลือดใหม่ล้างบางคอรัปชั่น ขณะที่ ‘เพชรยูบิลลี่’ ผู้ประกอบการค้าปลีกเครื่องเพชรกะรัตและเครื่องประดับเพชร หวังรัฐบาลใหม่ดึงมืออาชีพกำหนดยุทธศาสตร์บริหารประเทศ รับมือการเปิดการแข่งขันทางการค้า

          นายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการสายการขายและการตลาด บริษัทผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ พื้นไม้ลามิเนต แผ่นบอร์ด ยิปซัม และบริการหลังการขาย ภายใต้แบรนด์ ‘ตราเพชร’ เปิดเผยว่า นโยบายของพรรคการเมืองที่ผ่านมา ไม่ได้ให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนของประเทศที่ชัดเจน โดยแต่ละพรรคต่างชูนโยบายประชานิยม ซึ่งในฐานะของภาคเอกชนที่เป็นส่วนหนึ่งที่เสียภาษี อยากเห็นพรรคการเมืองหรือรัฐบาลใหม่มีนโยบายการใช้งบประมาณของประเทศ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจมากกว่า

          นอกจากนี้ สิ่งที่เอกชนอยากเห็นจากพรรคการเมืองเมื่อมาเป็นรัฐบาล ก็คือ การสานต่อนโยบายของรัฐบาลชุดเดิมที่เห็นว่าเป็นโครงการที่ดี เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการพัฒนาประเทศ เช่น นโยบายด้านการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้างรถไฟฟ้า โครงการรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น ขณะที่ปัญหาเรื่องความรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนนั้น พรรคการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐบาลต้องมีแนวทางที่ชัดเจนต่อการแก้ปัญหาดังกล่าว เนื่องจากส่งผลกระทบต่อการค้าการลงทุนของภาคเอกชน

          “เราเสียโอกาสหลายอย่าง จากผลกระทบด้านการเมือง ทั้งโอกาสทางธุรกิจ ความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนที่จะนำประเทศเดินหน้า แต่หลังจากวันที่ 3 ก.ค. เชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นและทุกฝ่ายต้องยอมรับผลการเลือกตั้งที่ออกมาเพื่อผลักดันประเทศให้ก้าวหน้าอีกครั้ง โดยเปิดโอกาสให้รัฐบาลใหม่ที่ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใด ได้มีเวลาในการบริหารประเทศวางแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับประชาชนดีกว่าจะมานั่งทะเลาะกันเองอีก” นายสาธิต กล่าว

          รองกรรมการผู้จัดการสายการขายและการตลาด บริษัทผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT กล่าวด้วยว่า โดยส่วนตัวอยากเห็นพรรคการเมืองให้โอกาสคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถที่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคม เข้ามามีบทบาทบริหารประเทศในกระทรวงสำคัญๆ เพื่อสร้างผลงานในการบริหารงาน หรือทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาการคอรัปชั่น เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับนักการเมือง

          “คนรุ่นใหม่จะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับวงการเมือง เพราะคนกลุ่มนี้ต้องการสร้างผลงานให้กับสังคมได้ยอมรับ และจะแข่งขันกันทำงานเพื่อผลักดันประเทศ ที่ช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่นักการเมืองของไทยที่เข้ามาเพื่อรับใช้ประชาชน” นายสาธิตกล่าว

          นายวิโรจน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE ผู้จัดจำหน่ายและทำตลาดเพชรกะรัตและเครื่องประดับเพชรภายใต้แบรนด์ “เพชรยูบิลลี่” เปิดเผยว่า ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจเอกชน อยากเห็นรัฐบาลชุดใหม่ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปการบริหารประเทศ โดยดึงนักบริหารมืออาชีพที่มีความรู้ความสามารถ ที่มีวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศ เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงสำคัญ โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจ เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับแก่นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ

          “พรรคไหนจะมาเป็นรัฐบาลก็ได้ แต่จำเป็นต้องดึงมืออาชีพที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหาร ไม่ใช่เป็นรัฐบาลแฟมิลี่ ที่ดึงญาติพี่น้อง กลุ่มนายทุนพรรค เข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง แต่บริหารงานไม่เป็น เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ภาคเอกชนจะขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล โดยเฉพาะในการกำหนดนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อรับมือการแข่งขันทางการค้าที่นับวันจะมีการเปิดเสรีการค้ามากขึ้น” นายวิโรจน์ กล่าว

          นอกจากนี้ รัฐบาลชุดใหม่ควรเน้นการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งเป็นปัญหาที่กัดกร่อนประเทศ และภาคเอกชนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งดัชนีชี้วัดขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ หากปล่อยให้มีการคอรัปชั่นมาก คงยากที่จะนำพาประเทศไปแข่งขันกับต่างชาติได้

          ส่วนคุณสมบัติของรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญๆ ต้องมีความสามารถในการผลักดันโยบายไปสู่ภาคการปฏิบัติได้จริง เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องมีประสบการณ์และเข้าใจปัญหาด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง และเข้าใจโครงสร้างรายได้ของประชาชนภายในประเทศ เพื่อกำหนดมาตรการที่เอื้อต่อการสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในแต่ละกลุ่ม ขณะที่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต้องบริหารงานฉับไว รวดเร็ว รู้จริงเรื่องโครงสร้างราคาสินค้าเพื่อรู้เท่าทันกลุ่มพ่อค้าที่อาจฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบด้วยการขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น

          “ที่ผ่านมาภาคเอกชนของไทยมีความเข้มแข็งอยู่แล้ว และพร้อมที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด รวมถึงพร้อมที่จะแข่งขันกับต่างชาติ รอเพียงรัฐบาลชุดใหม่ทำนโยบายหรือมีแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนว่าประเทศเราจะเดินไปทางไหน และจะสนับสนุนภาคเอกชนอย่างไร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางแข่งขันของภาคเอกชนให้ดีขึ้น” นายวิโรจน์ กล่าว