เนื้อหาวันที่ : 2011-06-07 09:36:59 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 756 views

มติสังคมหนุนธุรกิจทำ CSR

แกรนท์ ธอร์นตัน เผยทั่วโลกมีธุรกิจเอกชนเพียง 38% ที่ตั้งใจดำเนินกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ขณะที่ส่วนใหญ่ทำ CSR เพื่อสร้างแบรนด์และหวังได้ลูกค้าใหม่

          แกรนท์ ธอร์นตัน เผยทั่วโลกมีธุรกิจเอกชนเพียง 38% ที่ตั้งใจดำเนินกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ขณะที่ส่วนใหญ่ทำ CSR เพื่อสร้างแบรนด์และหวังได้ลูกค้าใหม่

          รายงานผลการสำรวจธุรกิจนานาชาติของแกรนท์ ธอร์นตัน ฉบับล่าสุด หรือ The 2011 Grant Thornton International Business Report (IBR) รายงานว่ามีธุรกิจเอกชนจำนวนไม่มากนักที่ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อมโดยไม่คิดหวังผลตอบแทน โดยมีเพียง 36% ของธุรกิจเอกชนทั่วโลกที่มีความกระตือรือร้นที่จะดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยความตั้งใจที่จะ 'อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม' ซึ่งลดลงจาก 40% เมื่อปี 2008

          อย่างไรก็ตาม ธุรกิจยังคงเล็งเห็นคุณประโยชน์ที่ได้รับจากกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) ในการสร้างแบรนด์ รักษาบุคลากรที่สำคัญของบริษัท และทำให้ได้ลูกค้าใหม่ในอนาคต โดย 56% ของธุรกิจทั่วโลกระบุว่า มติมหาชน/การสร้างแบรนด์ และการจ้างงาน/การรักษาไว้ซึ่งบุคลากร เป็นปัจจัยหลัก (ควบคู่กับการบริหารต้นทุน) ในการกระตุ้นให้เกิดกิจกรรม CSR ในปีนี้

          ทั้งนี้ ในขณะที่ธุรกิจในกลุ่มเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วยังคงพยายามรับมือกับเศรษฐกิจที่เติบโตเชื่องช้า ธุรกิจในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (BRIC) นั้นดูเหมือนว่ามีความห่วงใยในสิ่งแวดล้อมมากที่สุด โดย 60% ของประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจ BRIC และ 59% ของประเทศในกลุ่ม ASEAN ระบุว่าการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องผลักดันให้เกิดการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมมากยิ่งขึ้น เปรียบเทียบกับ 30% ใน EU และ 16% ในอเมริกาเหนือ

          เอียน แพสโค กรรมการบริหาร แกรนท์ ธอร์นตัน ประเทศไทย กล่าวว่า "ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยคู่แข่งที่มีการพัฒนาตนเองตลอดเวลา ธุรกิจเอกชนมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าการดำเนินกิจกรรม CSR ที่ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน จะช่วยให้บริษัทมีความโดดเด่นในสายตาของบุคลากร ผู้บริโภค และพาร์ทเนอร์ธุรกิจ ซึ่ง 65% ของธุรกิจในประเทศไทยบ่งชี้ว่าการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม”

          "นอกจากนี้ เมื่อธุรกิจและผู้บริโภคในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วดิ้นรนต่อสู้กับผลกระทบจากเศรษฐกิจขาลง ความเอาใจใส่ต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติโดยไม่คิดหวังผลตอบแทนจึงกลายเป็นเรื่องรอง เพราะธุรกิจต่างก็ให้ความสำคัญกับงบกำไรขาดทุน และผู้บริโภคก็หาวิถีทางที่จะทำให้รายได้ตนเองเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงเป็นไปตามที่กล่าวไว้ว่าธุรกิจในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่จึงดูเหมือนว่ามีความพร้อมในการริเริ่มกิจกรรม CSR อย่างต่อเนื่อง"

          ในขณะเดียวกัน ระดับของการดำเนินกิจกรรม CSR ทางด้านสิ่งแวดล้อม แรงงาน และชุมชนอื่นๆ นั้นมีความแตกต่างกันทั่วโลก ซึ่งธุรกิจในยุโรปตอนเหนือและแอฟริกา รวมถึงอเมริกาเหนือและเอเชีย-แปซิฟิก มีความโดดเด่นในเรื่องการริเริ่มกิจกรรม CSR ในขณะที่ยุโรปยังคงล้าหลังอยู่

          เอียน แพสโค กล่าวเสริมว่า "กิจกรรม CSR ในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากธุรกิจต่างตระหนักถึงการส่งเสริมคุณค่าของบุคลากรนอกเหนือไปจากการหวังผลเชิงพาณิชย์ การที่บริษัททำกิจกรรมเพื่อสังคมนั้นจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพไว้”

          ในการนี้ การสำรวจดังกล่าวยังเปิดเผยด้วยว่าความคิดเห็นต่อการรายงานการดำเนินกิจกรรม CSR นั้นแบ่งแยกเป็นสองขั้ว โดยหนึ่งในสี่ของธุรกิจทั่วโลกรายงานว่ามีการทำกิจกรรม CSR ในองค์กร (53% ในละติน อเมริกา, 41% ในกลุ่มเศรษฐกิจ BRIC, 17% ในอเมริกาเหนือและ 18% ในกลุ่มเศรษฐกิจ G7) นอกจากนี้ ธุรกิจยังมีความคิดเห็นแตกต่างกันเรื่องการรายงานเกี่ยวกับกิจกรรม CSR ว่าควรรวมอยู่ในรายงานทางการเงินหรือไม่ ซึ่ง 44% เห็นด้วยว่าจะเป็นการดำเนินธุรกิจที่ดีที่สุด ในขณะที่อีก 40% ไม่เห็นด้วยและ
16% ไม่มีความเห็น

          เอียน แพสโค กล่าวสรุปว่า "ธุรกิจเอกชนควรจะพิจารณาถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการรายงานกิจกรรม CSR โดยธุรกิจที่แสดงความเป็นผู้นำในการดำเนินกิจกรรม CSR อย่างโปร่งใสจะมีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งขัน และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดและรักษาไว้ซึ่งบุคลากรที่มีคุณภาพ สร้างคุณค่าของแบรนด์ และได้ลูกค้าต่างชาติรายใหม่ๆ ซึ่งมักจะใช้แนวทาง CSR มาใช้ในการพิจารณาคัดเลือกพาร์ทเนอร์ธุรกิจเช่นเดียวกัน"