เนื้อหาวันที่ : 2011-05-25 11:19:11 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 920 views

ภาวะเศรษฐกิจประจำวันที่ 25 พ.ค. 2554

1. หอการค้าประเมิน 1 ปี AEC ดันส่งออกไทย-อาเซียนขยายตัวร้อยละ 39.5
-  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยการประเมิน 1 ปี ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ตั้งแต่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค.53 ว่า ไทยมีส่วนแบ่งตลาดในอาเซียนมากขึ้น โดยในปี 53 มีมูลค่าการส่งออก 36.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปี 52 มีมูลค่า 25.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 1.02 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 39.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 35.8

-  สศค. วิเคราะห์ว่า  ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 54 มูลค่าการส่งออกของไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 56.9ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวที่ร้อยละ 27.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการขยายตัวได้ดีในทุกหมวดสินค้าและแทบทุกตลาด โดยเฉพาะการส่งออกไปจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและกลุ่มอาเซียนที่ยังคงขยายตัวได้ในระดับสูงที่ร้อยละ 22.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้คาดว่า ทั้งปี 54 มูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวได้ดีตามที่คาดการณ์อยู่ในช่วงร้อยละ 13.3 – 15.3 (คาดการณ์ ณ เดือน มี.ค. 54)

2. ดัชนีหุ้นสหรัฐเดินหน้าสู่ขาลง หลังวาณิชธนกิจใหญ่ 2 ราย คาดการณ์ราคาน้ำมันจะสูงขึ้น
-  ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ของสหรัฐ ปิดตลาดวานนี้ (24 พ.ค.) ปรับตัวลง 25.05 จุด (0.20%) มาอยู่ที่ 12,356.21 จุดขณะดัชนีเอส แอนด์ พี 500 ลดลง 1.09 จุด (0.08%) ที่ 1,316.28 จุด และดัชนีแนสแด็ก ร่วงลง 12.74 จุด (0.46%) ปิดการซื้อขายที่ 2,746.16 จุด ซึ่งแม้ราคาหุ้นจะร่วงลง แต่หุ้นกลุ่มบริษัทน้ำมันกลับทะยานขึ้นมาอยู่ในแดนบวก หลังโกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนเลย์ สองวาณิชธนกิจรายใหญ่ ออกมาคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ในตลาดอังกฤษ จะพุ่งไปถึง 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในปีหน้า หนุนให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น

-  สศค.วิเคราะห์ว่า ราคาน้ำมันขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัยดังนี้ 1) ด้านอุปสงค์ จากญี่ปุ่นที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มยุโรปและสหรัฐคาดว่าจะลดลงเนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังคงมีความเปราะบาง ในขณะที่กลุ่มเอเชียคาดว่ามีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น 2) ด้านอุปทาน คาดว่าการผลิตน้ำมันในกลุ่ม OPEC โดยเฉพาะจากประเทศลิเบียร์จะลดลงประมาณ ร้อยละ 70 

3) การเก็งกำไร คาดว่ามาตรการ QE2 จะสิ้นสุดในเดือนมิ.ย.54 ประกอบกับราคาน้ำมันที่สูงมากก่อนหน้านี้จะทำให้มีการขายเพื่อทำกำไร (Take Profit) 4) ภาวะธรรมชาติ ทั้งจากพายุเฮอริเคนและฤดูหนาว น่าจะทำให้มีความต้องการใช้น้ำมันสูงขึ้น ทั้งนี้ สศค.วิเคราะห์ว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 54จะอยู่ในช่วงคาดการณ์ที่ 90  – 100 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล

3. กรีซใช้มาตรการคลังฉุกเฉินวงเงิน 6 พันล้านยูโร หวังลดหนี้สาธารณะ
-  รัฐบาลกรีซ ตัดสินใจดำเนินมาตรการทางการคลังแบบฉุกเฉินวงเงิน 6 พันล้านยูโร เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล  โดยกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาใช้มาตรการปรับลดค่าจ้างพนักงานของภาครัฐ การปลดข้าราชการประจำ และการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งการเร่งรัดโครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นของเอกชนวงเงิน 5 หมื่นล้านยูโร  โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศเจ้าหนี้ของกรีซว่า กรีซมีความสามารถชำระหนี้ได้โดยไม่ต้องปรับโครงสร้างหนี้

-  สศค. วิเคราะห์ว่า มาตรการลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกรีซภายหลังจากรับความช่วยเหลือทางการเงินจากสหภาพยุโรปและ IMF  วงเงิน 1.1 แสนล้านยูโร  ได้ส่งผลทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกรีซหดตัวลง  โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 54 หดตัวลงร้อยละ -4.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน  และข้อมูลอัตราว่างงานล่าสุดในเดือน ก.พ.54 สูงถึงร้อยละ 15.9  นอกจากนี้ รัฐบาลกรีซยังคงต้องเผชิญปัญหาด้านฐานะการคลัง  โดยขาดดุลงบประมาณสูงถึงร้อยละ 9.5 เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 7.5 

ทั้งนี้ ปัญหาหนี้สาธารณะได้ส่งผลให้รัฐบาลกรีซมีต้นทุนกู้ยืมเงินที่สูงขึ้น  โดยดอกเบี้ยพันธบัตร 2 ปี ได้ปรับตัวสูงถึงร้อยละ 25  อีกทั้ง สถาบันจัดอันดับเครดิต S&P ยังได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลกรีซลงมาอยู่ที่ระดับ B  และถูกจัดให้อยู่ในสถานะ Credit watch โดยมีแนวโน้มที่จะถูกปรับลดลงได้อีก 

ดังนั้น การดำเนินมาตรการทางการคลังแบบฉุกเฉินของรัฐบาลกรีซเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือฉุกเฉินต่อไปวงเงิน 1.2 หมื่นล้านยูโร จึงคาดว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเงินทุนในระยะสั้น ซึ่งในอนาคตรัฐบาลกรีซจำเป็นต้องใช้มาตรการเพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐบาลควบคู่ไปกับการลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลลง 

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง