เนื้อหาวันที่ : 2011-05-19 10:08:27 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1909 views

แสนสิริมองการเมืองดีขึ้นปรับเป้าเพิ่มเป็น 5 พันล้าน

แสนสิริ โชว์รายได้ไตรมาสแรกทะลุ 5 พันล้าน มองแนวโน้มการเมืองดีขึ้น พร้อมรับลูกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ปรับเป้าไตรมาสสองเพิ่มอีกพันล้าน

นายเศรษฐา ทวีสิน
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

          แสนสิริ โชว์รายได้ไตรมาสแรกทะลุ 5 พันล้าน มองแนวโน้มการเมืองดีขึ้น พร้อมรับลูกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ปรับเป้าไตรมาสสองเพิ่มอีกพันล้าน

          แสนสิริ เผยผลการดำเนินงานไตรมาสแรก 54 สร้างยอดขายรวมกว่า 5,300 ล้านบาท มีรายได้รวม 3,639 ล้านบาท และกำไร 216 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 2 สร้างยอดขาย (Pre-Sale) ทะลุเป้าแล้วกว่า 50% ภายในระยะเวลาเพียงเดือนเศษ จากเดิมที่กำหนดเป้าหมายไว้ 4,000 ล้านบาท ประกาศปรับเป้ายอดขายรายไตรมาสอีกครั้งเป็น 5,000 ล้าน รับสภาวะทางการเมืองแนวโน้มดี พร้อมเตรียมสต็อคที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านเพิ่มรับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ แจงการปรับสิทธิ์ SIRI-W1 มีการเปลี่ยนแปลงราคาและอัตราการใช้สิทธิ์

          นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทแสนสิริในช่วงไตรมาส 1/2554 สามารถปิดยอดขายได้กว่า 5,300 ล้านบาท คิดเป็นรายได้รวมกว่า 3,639 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 216 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้แล้วกว่า 50% ของเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ 4,000 ล้านบาทภายในระยะเวลาเพียงเดือนเศษของไตรมาสที่ 2

บริษัทฯ จึงได้มีการพิจารณาและปรับแผนการดำเนินธุรกิจในไตรมาสที่ 2/2554 ใหม่ เพื่อให้สอดรับกับสภาวะการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจรวมทั้งทิศทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาท ซึ่งการปรับเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจในครั้งนี้ นับเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ยอดขายรวมตลอดทั้งปีสำเร็จตามเป้าหมายระยะยาวที่วางไว้

          “ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาบริษัทนับว่าประสบความสำเร็จทั้งในด้านยอดขาย และความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนแม้จะไม่มีมาตรการลดหย่อนภาษีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ดังเช่นไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างฐานลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดีทั้งยอดขายและกำไรดังกล่าวในไตรมาสที่ 1 เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของปีนี้เท่านั้น ซึ่งหลังจากนี้จะมีการรับรู้รายได้จากการโอนส่งมอบที่อยู่อาศัยที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป และเชื่อว่าจะส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 เติบโตเพิ่มขึ้น” นายเศรษฐา กล่าว

          นอกจากนี้การที่ภาครัฐได้ประกาศมาตรการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวม ดังนั้นแสนสิริจึงมีการปรับแผนการดำเนินธุรกิจเพื่อรองรับโอกาสการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2554 โดยหลังจากนี้จะมีการสร้างสต็อคที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น อาทิโครงการ ทาวน์พลัส ประชาอุทิศ, ทาวน์พลัส เทพารักษ์, โครงการฮาบิทาวน์ วัชรพล, โครงการพร้อมพัฒน์ ไพร์ม และ V-Village เป็นต้น

          “ในช่วงไตรมาสแรก บริษัทสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมโครงการ Prive by Sansiri จำนวนทั้งสิ้น 78 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 1,250 ล้านบาท โดยยูนิตสุดท้ายที่ปิดการขายเป็นห้องพร้อมตกแต่ง 3 ห้องนอน ขนาด 156 ตารางเมตร นับเป็นคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมโครงการล่าสุดที่บริษัทดำเนินงานขายในปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังมีคอนโดมิเนียมที่เปิดการขายและสร้างยอดขายอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ Quattro by Sansiri ซึ่งมียอดขายแล้วกว่า 80%, โครงการ The Base และโครงการ blocs77 มียอดขายแล้ว 85%, โครงการ dcondo รามคำแหงมียอดขายแล้วกว่า 90% และโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่โครงการ Hive Taksin ที่มียูนิตเหลือขายเพียง 15 ยูนิต

ทั้งนี้จากสภาวะการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจรวมถึงทิศทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมืองเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนี้ น่าจะช่วยกระตุ้นความมั่นใจของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยได้แน่นอน” นายเศรษฐา กล่าว

          สำหรับหุ้น SIRI นั้น ภายหลังจากที่ได้มีการจัดสรรหุ้นปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ทำให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 7,519,738,163.32 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,756,948,169 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4.28 บาท โดยมีการปรับสิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้น (SIRI-W1) ทั้งในส่วนของราคาใช้สิทธิและอัตราการใช้สิทธิ์ คือ จากเดิม ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น ในราคาหุ้นละ 5.20 บาท เปลี่ยนแปลงเป็น ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1.167 หุ้น ในราคาหุ้นละ 4.457 บาท