เนื้อหาวันที่ : 2006-04-20 16:08:06 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1287 views

รถไฟฟ้าใต้ดินของไทยผ่านมาตรฐาน IEQ แห่งแรกของโลก

รถไฟฟ้าใต้ดินเป็นระบบขนส่งมวลชนสาธารณะได้ห่วงใยผู้บริโภค มอบหมาย เอสจีเอสเป็นตัวแทนการตรวจสอบคุณภาพอากาศทั้ง 18 สถานี ประกาศผ่านมาตรฐาน IEQ แห่งแรกในโลก ย้ำสามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ ซึ่งปลอดทั้งมลพิษและเชื้อรา เผยสะอาดที่สุดในประเทศไทย

 

รถไฟฟ้าใต้ดิน  ห่วงใยผู้บริโภค มอบหมายเอสจีเอสเป็นตัวแทนการตรวจสอบคุณภาพอากาศทั้ง 18 สถานี ประกาศผ่านมาตรฐาน IEQ สามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ ซึ่งปลอดทั้งมลพิษและเชื้อรา เผยสะอาดที่สุดในประเทศไทย

 

บริษัท เอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด โดยคุณจิโรจ ณ นคร ผู้จัดการธุรกิจแร่ มารีน สิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม ได้จัดงานพิธีมอบใบรับรองมาตรฐานการตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในอาคาร (IEQ)ให้กับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (MRTA) โดยมีตัวแทนการรับมอบ คือ ท่านผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (MRTA) ซึ่งการจัดพิธีมอบใบรับรองมาตรฐาน IEQ  ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญและเป็นตัวอย่างที่ดีที่ทางการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (MRTA) ได้ตระหนักถึงความสำคัญด้านสุขอนามัย ตลอดจนให้ความสำคัญกับการตรวจสอบมลภาวะรวมไปถึงอากาศเป็นพิษซึ่งถือเป็นการเอาใจใส่ต่อสุขภาพของผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน

 

รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคลนี้มีเส้นทางการเดินรถรวมระยะทาง 20 กิโลเมตร เป็นโครงการใต้ดินตลอดสาย มีสถานีทั้งหมด 18 สถานี โดยเริ่มต้นจากบริเวณหน้าสถานี รถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ไปทางทิศตะวันออกตามแนว ถนนพระราม ที่ 4 ผ่านสามย่าน สวนลุมพินี จนกระทั่งตัดกับ ถนนรัชดาภิเษก เลี้ยวซ้าย ไปทางทิศเหนือตามแนวถนนรัชดาภิเษก ผ่านหน้าศูนย์การประชุม แห่งชาติสิริกิติ์ แยกอโศก แยกพระรามที่ 9 แยกห้วยขวาง แยกรัชดา ลาดพร้าว เลี้ยวซ้ายไปตาม ถนนลาดพร้าว จนถึงปากทางห้าแยกลาดพร้าว เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน ผ่านหน้าสวนจตุจักร ตรงไปสิ้นสุดที่บริเวณ สถานีรถไฟบางซื่อ สถานีเป็นสถานีใต้ดินทั้งหมด 18 สถานี ระยะห่างระหว่างสถานี โดยเฉลี่ย 1 กม.

 

ในสถานีประกอบด้วย ชั้นร้านค้า จากทางเข้าสถานีลงสู่ชั้นแรกของสถานีจะเป็นชั้นร้านค้า เป็นที่ตั้งของร้านค้าปลีก ผู้โดยสารสามารถลงมาชั้นนี้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าโดยสาร ชั้นออกบัตรโดยสาร จะเป็นชั้นที่ มีห้องออกบัตรโดยสาร เครื่องออกบัตรโดยสารอัตโนมัติ และแผนที่แสดงเส้นทาง เป็นชั้นแรกสำหรับสถานีที่ไม่มีชั้นร้านค้า ซึ่งผู้โดยสารสามารถออกเหรียญโดยสาร ใช้สำหรับการเดินทางเที่ยวเดียวได้จากเครื่องออกบัตรโดยสารอัตโนมัติ หรือที่ห้องออกบัตรโดยสาร แต่หากต้องการออกบัตรเติมเงิน จะต้องติดต่อที่ห้องออกบัตรโดยสารเท่านั้น ซึ่งห้องนี้จะตั้งอยู่หลัง เครื่องออกบัตรโดยสารอัตโนมัติเสมอ ห้องออกบัตรโดยสารนี้สามารถออกบัตรโดยสารได้ทั้งเหรียญโดยสาร และบัตรเติมเงิน

 

ส่วนห้องควบคุมสถานีตั้งอยู่ที่ชั้นออกบัตรโดยสาร ภายในห้องนี้จะติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการปฏิบัติการสถานีซึ่งมีทั้งระบบควบคุม และติดตาม ตรวจสอบความผิดปกติภายในสถานี และจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ตลอด 24 ชม. คอยดูแลรักษาความปลอดภัย บริการ ช่วยเหลือ ให้ข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ แก่ผู้มาใช้บริการ และชั้นชานชาลา เป็นชั้นที่ 3 หรือ 4 มี 2 แบบ คือ แบบชานชาลาแบบอยู่กลาง ชานชาลาอยู่ด้านข้าง และชานชาลาแบบซ้อนกัน เป็นชั้นที่รถไฟฟ้าจอดเทียบเพื่อรับ-ส่งผู้โดยสาร ระหว่างชานชาลากับรางรถไฟฟ้าจะมีประตูกั้นชานชาลา มีลักษณะเป็นกำแพงกระจกตลอดความยาวของชานชาลา โดยเมื่อรถไฟฟ้าจอดเทียบสถานี ประตูจะเปิดโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นระบบป้องกันความปลอดภัยของผู้โดยสารไม่ให้พลัดตกจากชานชาลา ให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุด ตั้งแต่เวลา 06.00 – 24.00 น. ความถี่ ชั่วโมงเร่งด่วนเวลา 06.00 – 09.00 และ 16.30 – 19.30 ความถี่ไม่เกิน 5 นาที ชั่วโมงปกติ ความถี่ไม่เกิน 7 นาที จำนวนรถไฟฟ้าวิ่งบริการสูงสุด 18 ขบวน สำรอง 1 ขบวน

 

 

ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าอากาศและมลภาวะเป็นพิษมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการทำงานของคนทั่วไป บริษัท เอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้นำบริการการตรวจวัดอากาศและมลภาวะภายในอาคารเข้ามาให้บริการในประเทศไทย และถือเป็นเจ้าแรกที่มีการบริการและตรวจสอบอากาศและมลภาวะอย่างจริงจัง โดยตั้งเป้าตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในอาคารสำนักงาน โรงพยาบาล โรงภาพยนตร์ ขนส่งมวลชน ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ นอกเหนือจากนี้ ทางบริษัทเอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัดยังมีเป้าหมายที่จะตรวจคุณภาพอากาศภายในอาคารเครื่องบินโดยสาร และรถยนต์โดยสารอีกด้วย

 
คุณจิโรจ ณ นคร ผู้จัดการธุรกิจแร่ มารีน สิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม กล่าวว่า การที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ให้การตอบรับการตรวจสอบคุณภาพอากาศและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในการตรวจสอบถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับเอสจีเอสและเจ้าหน้าที่ทุกท่าน เพราะสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นระบบขนส่งมวลชนสาธารณะที่มีผู้ใช้บริการมากมายและเป็นประจำ การดูแลคุณภาพอากาศภายในสถานีให้มีคุณภาพอากาศที่ดีและปลอดมลพิษ จึงมีความสำคัญเพราะมีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ใช้บริการการตรวจสอบคุณภาพอากาศของรถไฟฟ้าใต้ดิน
 
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา บริษัท เอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด พยายามที่จะรณรงค์ให้เจ้าของอาคารและผู้ใช้บริการหันมาเห็นความสำคัญของคุณภาพอากาศภายในอาคาร เพราะปัจจุบันเราพบว่าคนทั่วไปใช้ชีวิตอยู่ในอาคารประมาณ 90 % ซึ่งพบว่าอาคารต่าง ๆ ในประเทศไทยขาดการตรวจสอบและการดูแลรักษาจึงทำให้คนที่อาศัยอยู่ภายในอาคารป่วยเป็นโรคที่เรียกว่าโรคมนุษย์ตึกหรือ Sick Building Syndrome เนื่องจากไม่มีกฎหายบังคับให้เจ้าของอาคารและสถานประกอบการต้องทำการตรวจคุณภาพอากาศภายในอาคารจึงไม่มีคนสนใจมากนัก แต่ปัจจุบันมีผู้บริหารทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีวิสัยทัศน์ ต่างให้ความสำคัญของมลภาวะมากขึ้นโดยเฉพาะหน่วยงานที่มีชาวต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการ
 
สำหรับการตรวจสอบและผลการตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในอาคารของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เอสจีเอส ได้ใช้เวลาในการตรวจสอบคุณภาพอากาศทั้งภายในและภายนอกรถไฟฟ้าใต้ดินทั้ง 18 สถานี โดยการตรวจสอบจะตรวจสอบทั้งสารคาร์บอนไดออกไซด์ สารคาร์บอนมอนน็อกไซด์ อุณหภูมิความชื้นสัมพัทธ์ แบคทีเรียในอากาศ ยีสต์ และเชื้อรา
 

 

 
ดร. สร้อยสุดา เกษรทอง  นักวิชาการระดับสูง กระทรวงสาธารณสุขกล่าวเพิ่มเติมในรายละเอียดว่า การสูดดมเชื้อราเข้าไปนาน ๆ จะทำให้เกิดอาการแพ้โดยมีอาการ น้ำมูกไหล คัดจมูก ปวดหัว การเกิดพิษท็อกซินของจุลินทรีย์ซึ่งสามารถทำลายเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ระบบประสาทส่วนกลาง ระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น ส่วนการป้องกันต้องมีการดูแลระบบปรับอากาศให้มีความสะอาดเพื่อป้องกันแหล่งกำเนิดของเชื้อแบคทีเรียรวมทั้งควบคุมสภาวะการทำงานของเครื่องปรับอากาศให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย
 

คุณจิโรจ ณ นคร กล่าวเสริมว่า นอกจากรถไฟฟ้าใต้ดินแล้วเอสจีเอสมีโครงการที่จะตรวจคุณภาพอากาศที่ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร อาคารสำนักงาน โรงพยาบาลรวมไปถึงโรงภาพยนตร์ เราให้ความสนใจในการร่วมมือกับภาครัฐในการร่วมมือกับทางสำนักโรคจากการประกอบอาชีพ และสิ่งแวดล้อม การควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขในเรื่องข้อมูลที่ได้จากสถิติการตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในอาคารของเอสจีเอส โดยนำไปใช้เพื่อผลักดันให้ภาครัฐและเอกชนเห็นความสำคัญของคุณภาพอากาศภายในอาคาร ในปัจจุบันมีทั้งภาครัฐและเอกชนหันมาสนใจและช่วยดูแลสุขภาพมากขึ้น