เนื้อหาวันที่ : 2011-04-01 09:47:41 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1378 views

ธนาคารไทยส่งสัญญาณแข็งแกร่งขณะที่เงินเฟ้อยังน่าห่วง

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ชี้แนวโน้มธนาคารพาณิชย์ของไทยมีเสถียรภาพ ขณะที่เงินเฟ้อและความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยเสี่ยง

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ชี้แนวโน้มธนาคารพาณิชย์ของไทยมีเสถียรภาพ ขณะที่เงินเฟ้อและความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยเสี่ยง

ฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าวว่าแนวโน้มของธนาคารพาณิชย์ไทยยังคงมีแนวโน้มมีเสถียรภาพในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า ฟิทช์คาดว่าสภาวะเศรษฐกิจจะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนผลการดำเนินงานโดยรวมของธนาคารพาณิชย์ไทย แต่ปัจจัยเสี่ยงหลักอาจจะรวมถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเติบโตในระดับสูงของสินเชื่อสำหรับธุรกิจรายใหญ่ในบางกลุ่มอุตสาหกรรมและสินเชื่อรายย่อย

ต้นทุนทางการเงินที่อาจปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก รวมทั้งความเสี่ยงในด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่อาจเพิ่มขึ้น จากการขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น และเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอยู่ในสภาวะที่ไม่มั่นคง อย่างไรก็ตามระดับของรายได้และเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ไทยน่าจะสามารถรองรับผลกระทบจากการชะลอตัวลงอย่างฉับพลันของเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง

แม้ว่าต้นทุนทางการเงินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นอาจจะส่งผลกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของธนาคารพาณิชย์ไทย แต่ฟิทช์คาดว่าความต้องการสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูง รายได้ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น และการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในระดับไม่สูงมากนัก จะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อผลประกอบการโดยรวม ฟิทช์เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่จะสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นได้ดีกว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก เนื่องจากมีฐานลูกค้าเงินฝากที่ใหญ่กว่า

ฟิทช์มองว่า การเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้ของธนาคารพาณิชย์ไทยเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ช่วยรักษาระดับเงินกองทุนให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตของธนาคาร อีกทั้ง ฟิทช์ยังเห็นว่าธนาคารไทยไม่ได้มีการพึ่งพาแหล่งเงินทุนที่มาจากการออกตราสารหนี้ที่มีลักษณะคล้ายทุน (hybrid capital securities) ในระดับที่สูงนัก เนื่องจากทุนจดทะเบียนชำระแล้วและกำไรสะสม ซึ่งมีคุณสมบัติในการรองรับผลขาดทุนของธนาคารสูงที่สุด ยังคงเป็นส่วนประกอบหลักในโครงสร้างเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ไทย

คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ไทยมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องและอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวสูงขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2553 ธนาคารพาณิชย์ไทยมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ 4.4% (5.9% ณ สิ้นปี 2552) และมีอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ 91% (76% ณ สิ้นปี 2552) ในระยะยาว

ฟิทช์คาดว่ากระบวนการอนุมัติสินเชื่อที่รัดกุมมากขึ้น รวมทั้งการป้องกันและการแก้ปัญหาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่รวดเร็วขึ้นน่าจะช่วยให้คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

ในขณะเดียวกัน ฟิทช์มองว่าความเสี่ยงด้านการระดมเงินทุนและสภาพคล่องน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ แม้ว่าธนาคารพาณิชย์ไทยจะมีอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเฉลี่ยที่ 97% (สำหรับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 6 อันดับแรก ซึ่งมีสินทรัพย์รวมประมาณ 80% ของระบบ)

ซึ่งโดยทั่วไปยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์ในภูมิภาคเอเชีย แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงด้านการระดมเงินทุนยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้เนื่องจากธนาคารมีการถือครองสินทรัพย์สภาพคล่องในระดับที่พอเพียงและมีฐานลูกค้าเงินฝากที่มั่นคง

เหตุการณ์ที่อาจส่งผลให้เงินกองทุนของธนาคารมีความเสี่ยงที่จะลดลง เช่น การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระดับสูงเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ และ/หรือ สินเชื่อที่มีการเติบโตในระดับที่สูงมากกว่าปกติ อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิต

ขณะเดียวกันการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ เช่น อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์ที่สูงขึ้นและอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ต่ำลง น่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทยโดยรวม