เนื้อหาวันที่ : 2011-01-25 09:57:03 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1772 views

HBA เตือนค่าแรง-ต้นทุนวัสดุแพงขึ้นแนะผู้บริโภคเร่งตัดสินใจ

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ชี้ต้นทุนค่าก่อสร้างบ้านปรับสูงขึ้นเฉลี่ย 3-5% แนะผู้บริโภคเร่งตัดสินใจก่อนบ้านขึ้นราคา

นายวิบูล จันทรดิลกรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน(HBA)

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ชี้ต้นทุนค่าก่อสร้างบ้านปรับสูงขึ้นเฉลี่ย 3-5% แนะผู้บริโภคเร่งตัดสินใจก่อนบ้านขึ้นราคา

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน(HBA) ชี้ต้นทุนค่าก่อสร้างบ้านปรับสูงขึ้น จากปัจจัยค่าแรงและราคาวัสดุ ที่ทยอยปรับขึ้นแล้ว คาดมีผลกระทบให้แนวโน้มมีโอกาสจะปรับสูงขึ้นเฉลี่ยตั้งแต่ 3-5%ขึ้นไป แนะผู้บริโภคเร่งตัดสินใจก่อนบ้านขึ้นราคา ส่วนสถานการณ์ดอกเบี้ยขาขึ้น เชื่อว่าไม่กระทบต่อการตัดสินใจปลูกสร้างบ้านมากนัก

นายวิบูล จันทรดิลกรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน(HBA) กล่าวว่า นับตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 4 ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันพบว่า ต้นทุนค่าก่อสร้างบ้านได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีปัจจัยหลักมาจาก 2 ส่วน คือ 1.ค่าจ้างแรงงาน 2.ราคาวัสดุก่อสร้าง กรณีค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น เป็นผลมาจากเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมารัฐบาลได้ประกาศใช้ค่าแรงขั้นต่ำอัตราใหม่พร้อมกันทั่วประเทศ เฉลี่ยปรับขึ้นประมาณ 8-17บาท/คน/วัน

แต่สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านแม้ว่าส่วนใหญ่มีการให้ค่าจ้าง ทั้งการว่าจ้างผู้รับเหมาช่วง และว่าจ้างคนงานก่อสร้างแบบกินค่าแรงรายวันประจำในอัตราที่สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว แต่ภายหลังจากค่าแรงขั้นต่ำอัตราใหม่มีผลบังคับใช้ บริษัทรับสร้างบ้านก็จำเป็นจะต้องปรับขึ้นค่าแรงขึ้นไปอีก เพื่อให้สอดรับกับการปรับขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำของภาครัฐ

ส่วนกรณีราคาวัสดุก่อสร้างนั้นพบว่า นับตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 4 ของปี53ที่ผ่านมา วัสดุก่อสร้างหลายชนิดมีการทยอยปรับขึ้นราคาไปบ้างแล้ว เฉลี่ยปรับขึ้นจากเดิมอยู่ในอัตราประมาณตั้งแต่ 3 ถึง 5% อาทิ ปูนซีเมนต์ถุง คอนกรีตผสมเสร็จ กระเบื้องหลังคา สีทาบ้าน ไม้ ฯลฯ จากการปรับขึ้นราคาดังกล่าวมีผลให้การก่อสร้างบ้านมีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นทันที ซึ่งโดยเฉลี่ยราคาวัสดุก่อสร้างถือเป็นต้นทุนหลักของการก่อสร้างบ้านหนึ่งหลัง เฉลี่ยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60 ถึง 70% ของต้นทุนค่าก่อสร้างบ้าน

ดังนั้น เมื่อค่าแรงและวัสดุก่อสร้าง มีการปรับขึ้น ก็มีแนวโน้มว่า การก่อสร้างบ้าน อาจจะต้องมีการปรับขึ้นราคาในเร็ว ๆนี้เฉลี่ยตั้งแต่ 3% ขึ้นไป เนื่องจากในการปลูกสร้างบ้าน จะต้องมีขั้นตอนในการพูดคุยแก้ไขแบบกับลูกค้า เฉลี่ยประมาณ 1-3 เดือน กว่าที่ลูกค้าจะตัดสินใจเซ็นสัญญา และเริ่มลงมือก่อสร้างบ้านได้

ขณะที่ขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน 1 หลังที่มีพื้นที่ใช้สอยเฉลี่ย 250-300 ตารางเมตร ก็จะต้องใช้ระยะเวลาเฉลี่ยอีกประมาณ 8-10 เดือน ในส่วนของผู้ประกอบการจึงจำเป็นจะต้องคาดการแนวโน้มและเผื่อราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้าง เพื่อรับงานในอนาคต

เมื่อพิจารณาจากราคาค่าก่อสร้างบ้านที่มีแนวโน้มจะปรับสูงขึ้นในช่วงนี้หรือช่วงต่อไปก็ตาม ในขณะนี้ จึงถือเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม ที่ผู้บริโภคจะรีบตัดสินใจปลูกสร้างบ้านในเวลานี้ เช่น กรณีปลูกสร้างบ้านราคา 3 ล้านบาท หากมีการปรับราคาขึ้นอีก 3% ก็จะทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีกประมาณเกือบ 1 แสนบาท โดยเร็วๆ นี้ทางสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านจะมีการจัดงาน “รับสร้างบ้าน FOCUS 2011” ภายในวันที่ 4-6 มีนาคม 2554นี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

ซึ่งในงานนี้จะมีบริษัทรับสร้างบ้านเข้าร่วมงานออกบูท พร้อมนำแบบบ้าน รุ่นใหม่ มาจัดแสดงและมีโปรโมชั่น รวมทั้งส่วนลดพิเศษมาให้กับผู้ที่ตัดสินใจจองปลูกสร้างบ้าน ในงานนี้ ซึ่งถือเป็นช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมต่อการตัดสินใจมีบ้านใหม่ก่อนที่จะมีการปรับราคาบ้านขึ้นตามต้นทุนค่าก่อสร้าง ที่เพิ่มสูงขึ้น

นายวิบูล กล่าวต่อว่า สำหรับผลกระทบอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในภาวะขาขึ้น โดยทยอยปรับสูงขึ้นนับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาและมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในปีนี้อีก โดยเมื่อเร็วๆ นี้ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากเดิม 2.00% เป็น 2.25% ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ ทุกแห่ง เริ่มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไปแล้ว แต่เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจปลูกสร้างบ้าน อยู่บ้าง

เนื่องจากโดยภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีเงินออมเก็บสะสมไว้ โดยเฉลี่ย มีผู้บริโภคในธุรกิจรับสร้างบ้านประมาณ 80% ที่ปลูกสร้างบ้านโดยใช้เงินออมของตนเอง และมีเพียงประมาณ 20% เท่านั้นที่สร้างบ้านโดยการขอสินเชื่อจากธนาคาร และส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่การขอกู้ธนาคารเต็มวงเงินของค่าก่อสร้างบ้าน

ส่วนในกลุ่มที่ต้องการขอสินเชื่อกู้ธนาคาร เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบ มากนัก เนื่องจากเป็นการขอสินเชื่อในระยะยาวเฉลี่ยประมาณ 10 ปี ดังนั้นการที่อัตราดอกเบี้ยทยอยปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปนั้น จะมีผลกระทบต่อภาระการผ่อนบ้านต่อเดือนไม่มากนัก โดยดอกเบี้ยขึ้น 1% จะทำให้ต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 7,000บาท ต่อวงเงินหนึ่งล้านบาทต่อปี

“คิดว่าเรื่องดอกเบี้ยเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจปลูกสร้างบ้านไม่มากนัก เหมือนกับช่วงปลายปี ที่ผ่านมาที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับขึ้น แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสมาชิกเรามาก ประกอบกับปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย ก็อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี’40 อีกทั้งสมาคมฯเราได้มีการพูดคุยเจรจา ตกลงกับพันธมิตรทุกธนาคาร ช่วยจัดดอกเบี้ยในอัตราต่ำพิเศษ หรือเงื่อนไขพิเศษต่างๆ ให้แก่ลูกค้าเฉพาะ ที่มาปลูกสร้างบ้านกับสมาชิกในสมาคมฯ “นายวิบูลกล่าว