เนื้อหาวันที่ : 2010-12-29 16:10:27 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1957 views

นิด้าชี้เศรษฐกิจไทยปีหน้าหดตัวคาดโตแค่ 4%

MPA NIDA ห่วงเศรษฐกิจไทยปี 54 ชะลอตัว เหตุเศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง คาดทั้งปีอาจโตแค่ 4% แถมเสี่ยงเงินเฟ้อ หลังรัฐบาลโหมกระตุ้นเศรษฐกิจ

รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์
ผู้อำนวยการ MPA Executive Program Bangkok
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

MPA NIDA ห่วงเศรษฐกิจไทยปี 54 ชะลอตัว เหตุเศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง คาดทั้งปีอาจโตแค่ 4% แถมเสี่ยงเงินเฟ้อ หลังรัฐบาลโหมกระตุ้นเศรษฐกิจ

ผู้อำนวยการ MPA Executive Program Bangkok สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ประเมินทิศทางเศรษฐกิจโลก ขยายตัวภายใต้ภาวะฟื้นตัวที่เปราะบาง คาดอัตราขยายตัวอยู่ในกรอบ 3-3.5% ขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ 4% ชะลอตัวลงจากปี 53 ที่ขยายตัว 7% ระบุปัจจัยเสี่ยงอยู่ที่ภาวะเงินเฟ้อ หลังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐเป็นกลไกผลักดัน แนะจับตาทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นดันค่าเงินผันผวน กระทบส่งออกและท่องเที่ยวระลอกใหม่

รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการ MPA Executive Program Bangkok สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ประเมินถึงทิศทางเศรษฐกิจโลกและไทยในปี 2554 ว่า เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะยังคงอยู่ในทิศทางชะลอตัวลง เนื่องจากหลายประเทศยังอยู่ในภาวะของการฟื้นตัวอย่างเปราะบาง โดยคาดว่าจะขยายตัวอยู่ในราวร้อยละ 3-3.5 ขณะที่เศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 4 ชะลอตัวลงจากปี 2553 ที่มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 7

สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบกับเศรษฐกิจโลกนั้น แม้ว่าทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาซึ่งมีขนาดใหญ่ถึง 1 ใน 5 ของเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งจากการบริโภคภาคครัวเรือน ยอดจำหน่ายบ้านใหม่ที่เพิ่มขึ้น ราคาบ้านที่สูงขึ้น และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานที่ลดลง

แต่ด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมากมายในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการค้าที่ไม่สมดุล ภาวะของค่าเงินที่ไม่มีเสถียรภาพ และปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศในยุโรป ซึ่งหากยังคงขยายวงกว้างต่อเนื่องไปยังประเทศอื่นๆ อีก นอกจากกลุ่มประเทศที่กำลังประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ ขณะที่การฟื้นตัวของหลายประเทศก็ยังคงเกิดขึ้นภายใต้ความเปราะบาง

“จะมีก็แต่กลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ อย่าง อินเดีย บราซิล รัสเซีย และจีน ที่ค่อนข้างจะอยู่นอกเขตความเสี่ยงของวิกฤติ ตลอดจนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของกลุ่มประเทศดังกล่าวนี้เอง จะเป็นตัวช่วยทำให้ตัวเลขทางสถิติ และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกไม่ตกต่ำ หรือเข้าสู่ภาวะถดถอยจนเกินไป

ทำให้คาดการณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกอยู่ที่ร้อยละ 3 - 3.5 ซึ่งยังอยู่ในภาวะของการฟื้นตัวอย่างเปราะบาง และชะลอตัวลงจากปี 2553 ขณะที่ระดับราคาน้ำมันที่คาดว่าจะอยู่ที่ 100 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะเป็นอีกหนึ่งแรงกดดัน” รศ.ดร.มนตรีกล่าว

ส่วนการขยายตัวของประเทศใหญ่ๆ อย่าง สหรัฐอเมริกาในปี 2554 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ระหว่างร้อยละ 2.5 – 3 ยุโรปขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.5 – 2 เนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะที่ยังเป็นที่น่ากังวลอยู่ ประเทศจีน ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ที่อยู่ภูมิภาคเดียวกันกับไทย คาดว่าในปี 2554 เศรษฐกิจจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 10 และร้อยละ8 ตามลำดับ ส่วนประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะสามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 7

ผู้อำนวยการ MPA Executive Program Bangkok นิด้า กล่าวด้วยว่า ในส่วนของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่พึ่งพาเศรษฐกิจภาคต่างประเทศ โดยเฉพาะภาคการส่งออกในสัดส่วนถึงร้อยละ 71.9 ต่อ GDP ย่อมจะได้รับผลกระทบจากแนวโน้มทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น

ตลอดจนในปัจจุบันประเทศไทยยังคงมีปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังปี 2554 ได้อีก เนื่องจากยังไม่มีแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นภายในประเทศได้อย่างชัดเจน ทั้งปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ปัญหาเสถียรภาพในภาคการเมือง ปัญหาอุทกภัย ปัญหาการผลิตในภาคเกษตรกรรม และปัญหาความผันผวนของค่าเงิน

ตลอดจน แผนนโยบายที่รัฐบาลได้มีการอนุมัติไว้ เพื่อเริ่มดำเนินการในปี 2554 ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นฐานเงินเดือนข้าราชการ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และนโยบายรัฐสวัสดิการต่างๆ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน จะส่งผลให้เกิดการขยายตัวของภาคการบริโภคภายในเพิ่มมากขึ้น จากการมีอำนาจซื้อที่สูงขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการผลิตก็เพิ่มขึ้นด้วย เพราะค่าแรงที่เพิ่มขึ้น และระดับราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้น จากแรงผลักดันด้านอุปสงค์เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้คาดการณ์ได้ว่าในปี 2554 ระดับอัตราเงินเฟ้อของไทยจะอยู่ที่ร้อยละ 4.0 – 5.0 ภาคการลงทุนเอกชน มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2553 แนวโน้มระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีทิศทางขาขึ้น คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.5 – 2.75

ส่วนภาคการส่งออกอาจจะเกิดการชะลอตัวลงอยู่บ้าง จากปัญหาค่าเงินแข็งที่เกิดขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ผู้ประกอบการได้เริ่มมีการปรับตัวด้วยการขึ้นราคาสินค้า เพื่อชดเชยส่วนต่างที่เกิดขึ้น และภาวะตลาดต่างประเทศเองก็รับได้ ทำให้คาดว่าในปี 2554 การส่งออกของไทยจะสามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 8 การนำเข้าขยายตัวได้ร้อยละ 10 และระดับอัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลล่าร์สหรัฐคาดว่าอยู่ที่ 28.0 – 29.0 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ

ดังนั้น คาดว่าภาวะของเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ที่มีโครงสร้างพึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่สูง และผันผวนตามทิศทางของเศรษฐกิจโลก จะสามารถขยายตัวทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ 3.5 – 4.0 โดยประมาณการดังกล่าว อยู่ภายใต้เสถียรภาพทางการเมือง และแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆ มีความคืบหน้า

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงในเรื่องของภาวะเงินเฟ้อ จากแผนนโยบายของรัฐบาลที่ได้อนุมัติไว้ โดยประเด็นนี้จะเชื่อมโยงต่อเนื่องไปยังกระบวนการในการแก้ปัญหา ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้นโยบายการเงินในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ

ดังนั้น ผลกระทบที่จะตามมาก็คือ ระดับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดแรงจูงใจในการนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดปัญหาความผันผวนของค่าเงิน จากการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศตามมา ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ไปยังภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยว

นอกจากนี้ ภาวะทางการเมือง ก็เป็นอีกปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในการลงทุน โดยล่าสุดประเทศไทยไม่ติด 1 ใน 25 ของประเทศที่มีบรรยากาศในการลงทุนที่ดี ซึ่งประเทศที่ติดอยู่ในอันดับดังกล่าวในภูมิภาคเดียวกัน คือ ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม

ทั้งนี้ อันดับที่น่าสนใจของไทยอีกอันดับ คือ การติดอันดับ 1 ใน 7 ของประเทศที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการก่อการร้าย ซึ่งต้องยอมรับว่า ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุน ตลอดจนอีกประเด็นปัญหาที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ ก็คือ ปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟู และวินัยทางการเงินการคลัง โดยจะส่งผลต่อเนื่องไปยังสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP

ส่วนภาวะของตลาดหลักทรัพย์ในปี 2554 เนื่องด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวอย่างเปราะบางอยู่ ตลอดจนในปี 2553 ประเทศที่พัฒนาแล้ว ผลตอบแทนยังอยู่ในแดนลบ และความผันผวนของเศรษฐกิจในประเทศที่พัฒนาแล้วยังคงสูงอยู่ อาทิ ภาวะวิกฤตหนี้สาธารณะในภูมิภาคยุโรป และความกังวลต่อการเกิดภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่คลี่คลาย

รวมทั้งการดำเนินมาตรการผ่อนคลายสภาพคล่อง (Quantitative Easing) ได้ส่งผลให้มีสภาพคล่องในระดับที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดกระแสเงินทุนไหลเข้าในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น รวมทั้งภูมิภาคเอเชียเอง มีปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเป็นแรงหนุนอีก จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่า ในช่วงต้นปี 2554 ทิศทางของตลาดหุ้นจะค่อนข้างมีความสดใส โดยคาดว่า มีความเป็นไปได้ที่ดัชนีหุ้นไทยในปี 2554 จะแตะที่ระดับ 1,150 จุด โดยประมาณ