เนื้อหาวันที่ : 2010-12-08 10:58:12 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 615 views

ภาวะเศรษฐกิจประจำวันที่ 8 ธ.ค. 2553

1. ส.อ.ท.คาดจีดีพีปีหน้าโตมากกว่าร้อยละ 5.0 ต่อปี

-  ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจในปี 2554 น่าจะขยายตัวได้อย่างดีที่ประมาณร้อยละ 4.0-5.0 ต่อปี และมีความเป็นไปได้ที่จีดีพีจะขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 5.0 ต่อปี หากไม่มีปัจจัยลบที่รุนแรง โดยปัจจัยลบที่ภาคเอกชนมีความกังวลได้แก่ ปัญหาค่าเงินบาท การเมือง เศรษฐกิจโลก และต้นทุนราคาสินค้าที่สูงขึ้น


อาทิ ราคาน้ำมัน ทั้งนี้จากการสำรวจความคิดเห็นล่าสุดจากสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมจำนวน 23-24 กลุ่มอุตสาหกรรม มีความคิดเห็นส่วนใหญ่ว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องหนัง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ไม้ และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น


-  สศค. วิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 54 จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากปี 53 ที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี (ประมาณการ ณ ก.ย.53) โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า 14 ประเทศ ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.2 ต่อปี นับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันหลังผ่านพ้นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลก


ส่งผลภาคการส่งออกของไทยขยายตัวได้ดี โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลล่าร์สหรัฐจะขยายตัวได้ร้อยละ 12.0 ต่อปี อย่างไรก็ดีมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดได้แก่ 1)การแข็งค่าของค่าเงินบาท 2)ราคาน้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในปี 54 ได้ ทั้งนี้ สศค.จะปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 54 อีกครั้งในช่วงสิ้นเดือน ธ.ค.53 นี้


2. คาดเงินบาทแข็งค่าแตะระดับ 25 บาทต่อดอลลาร์ในปีหน้า

-  นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต เปิดเผยว่าเศรษฐกิจไทยปี 54 จะเติบโตต่อเนื่องโดยขยายตัวที่ร้อยละ 3-4 ต่อปี เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงจากวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางยุโรปมีการออกมาตรการในลักษณะ QE  ทำให้เงินบาทมีความผันผวนโดยแข็งค่าแตะระดับ 25 บาท/ดอลลาร์


คาดว่าค่าเฉลี่ยเงินบาทในปีหน้าจะอยู่ในช่วง 26.50 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่เงินเฟ้อค่อนข้างสูง ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเพิ่มความเข้มงวดในการดำเนินนโยบายการเงิน และอัตราเงินเฟ้อปีหน้าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4-5 ต่อปี


-  สศค. วิเคราะห์ว่า การดำเนินมาตรการ QE ทำให้มีกระแสเงินทุนไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดเงินและตลาดทุนในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทยโดย ณ วันที่ 7 ธ.ค. 53 มีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรจำนวน 12,599.72 ล้านบาท และเงินทุนไหลเข้าตลาดทุนจำนวน 2,031 ล้านบาท  ส่งผลให้ค่าเงินบาทนับจากต้นปีถึงวันที่ 8 ธ.ค. 53 แข็งค่าขึ้นร้อยละ 9.5


โดยปัจจัยสนับสนุนการไหลเข้าของเงินทุนมาจากเศรษฐกิจไทยที่ยังขยายตัวได้ดี โดยในปี 53 และ 54 จะสามารถขยายตัวร้อยละ 7.5 และ 4.5 ต่อปี โดยมีแรงส่งทั้งจากการใช้จ่ายภายในประเทศ และการส่งออกที่คาดว่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งนี้ สศค.คาดว่าในปี 53 ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ประมาณ 31.17 บาท/ดอลลาร์และปี 54 จะอยู่ในช่วง 30.00-31.00 บาท/ดอลลาร์


3. มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฮังการีสู่ระดับ Baa3 จาก Baa1

-  สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสประกาศลดอันดับเครดิตขอฮังการี สองขั้นสู่ระดับ Baa3 จาก Baa1 โดยแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นเชิงลบ เนื่องจากการขาดดุลงบประมาณของฮังการีมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น และมีความเสี่ยงที่ฮังการีจะได้รับผลกระทบจากวิกฤภายนอก อาทิ ปัญหาหนี้สาธารณะยุโรป


-  สศค. วิเคราะห์ว่า การปรับลดอันดับเครดิตเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลฮังการีสูญเสียความแข็งแกร่งทางการเงินการคลังที่ลดลงอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันฮังการีมีสัดส่วนหนี้สาธารณะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 79 ของ GDP ในปี 53 นอกจากนี้ การขาดดุลงบประมาณในปี 53 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นอาจถึงระดับร้อยละ -6.0 ของ GDP ทั้งนี้ รัฐบาลฮังการีได้มีการควบคุมการขาดดุลงบประมาณให้ได้ตามกรอบของ EU ซึ่งกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 3 ของ GDP ภายในปี 54


ซึ่งได้มีการกำหนดนโยบาย เช่น กองทุนบำเน็จบำนาญเอกชนให้เข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล เพื่อเป็นการลดการขาดดุลงบประมาณของภาครัฐ นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจในยูโร เช่น สเปน โปรตุเกส กรีซ มีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง เนื่องจากการลดการใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อรักษาวินัยทางการคลัง และอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับสูง

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง