เนื้อหาวันที่ : 2010-12-01 12:02:08 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2443 views

ผลกระทบของ QE ต่อเศรษฐกิจไทย

สศค. ชี้นโยบาย QE ของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง รายได้และความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกลดลง ขณะที่ต้นทุนนำเข้าก็ถูกลง

บทวิเคราะห์เรื่อง นโยบาย Quantitative Easing ของสหรัฐฯ
และผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย1

.

สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค

.

.

บทสรุปผู้บริหาร
         - นับจากวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2551 เป็นต้นมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) ในการเข้าซื้อสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (Mortgage Back Securities) และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รวมกว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อพยุงตลาดอสังหาริมทรัพย์และแทรกแซงให้ดอกเบี้ยระยะยาวอยู่ในระดับที่ต่ำ อันเป็นการประคับประคองเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังประสบปัญหาการว่างงานที่สูง

.

          - สศค. วิเคราะห์ว่า นโยบาย QE ของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยทำให้ 1) เงินบาทแข็งค่าขึ้นและมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. 2) รายได้และความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออกลดลง 3) ต้นทุนสินค้านำเข้าถูกลง อย่างไรก็ตาม ด้านการท่องเที่ยววิเคราะห์ว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวมากนัก

.

ข้อเสนอเชิงนโยบาย
ในระยะสั้น
          1. รัฐบาลควรดำเนินมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อผู้ส่งออก ขณะเดียวกันภาคเอกชนควรพิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินในการประกันความเสี่ยงจากเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ด้วยเช่นกัน
          2. ภาครัฐควรสนับสนุนให้ภาคเอกชนนำเข้าเครื่องจักรและสินค้าทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตในอนาคต
          3. ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลการแข็งค่าของเงินบาทไม่ให้เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงหรือเร็วเกินไปเพื่อให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม

.

ในระยะปานกลางและระยะยาว
          1. ภาครัฐเร่งเสริมสร้างอุปสงค์ภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาการส่งออก ผ่านการเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการจ้างงาน
          2. ภาครัฐควรส่งเสริมให้ภาคเอกชนผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อลดผลกระทบจากความสามารถในการแข่งขันด้านราคาที่ลดลงจากการแข็งค่าของเงินบาท
          3. ภาครัฐเร่งเสริมสร้างความร่วมมือทางการเงินกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย เพื่อติดตาม และ
ร่วมกันบริหารจัดการเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้ามาในภูมิภาค

.

1. บทนำ
           นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในลักษณะ Quantitative Easing (QE) เป็นหนึ่งในกลไกที่ธนาคารกลางหลายประเทศนำมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่นโยบายการเงินผ่อนคลายแบบปกติ (Conventional Method) ผ่านกลไกอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่สามารถแก้ไขเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องได้

.

โดยนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจและการเงินในสหรัฐฯ เป็นต้นมา ธนาคารกลางในหลายประเทศ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ใช้นโยบาย QE เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ภาคการเงินและภาคเศรษฐกิจ ผ่านการเข้าซื้อหลักทรัพย์ ซึ่งทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจของโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอื่นๆทั่วโลก สำหรับประเทศไทย ผลกระทบ

.

จากนโยบาย QE ได้กระทบต่อภาคการเงินและภาคเศรษฐกิจจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในบทความนี้ จะได้กล่าวถึงการใช้นโยบาย QE ของประเทศสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆผลกระทบของนโยบาย QE ต่อเศรษฐกิจไทย และนัยเชิงนโยบายสำหรับภาครัฐ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

.

2. การใช้นโยบาย QE ของสหรัฐฯ หลังวิกฤตเศรษฐกิจ
          ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve: Fed) ได้ดำเนินมาตรการ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการเงิน ในปริมาณที่มากกว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. หรือประมาณร้อยละ 13 ของจีดีพีสหรัฐฯ โดยแบ่งเป็นมาตรการ QE ระยะที่ 1 ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2551 ถึงกลางปี พ.ศ. 2553 ที่ประมาณ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. และมาตรการ QE ระยะที่ 2 ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2553 เป็นต้นมา

.

          มาตรการ QE ระยะที่ 1 (Q4/2551 – Q3/2553) Fed ได้ใช้มาตรการ QE เพื่อเสริมสร้างสภาพคล่องในระบบธนาคารและพยุงราคาอสังหาริมทรัพย์ โดยได้ให้เงินกู้ระยะสั้นแก่สถาบันการเงินผ่าน Term Auction Facilitiesกว่า 430 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และได้เข้าซื้อตราสารที่หนุนหลังโดยสินเชื่อสังหาริมทรัพย์ (Mortgage Backed Securities) ผ่านโครงการ Term Asset-Backed Securities Loan Facilities (TALF)

.

ส่งผลให้สินทรัพย์ในงบดุลการเงินของ Fed ได้เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากระดับประมาณ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือน ก.ย. 2551 เป็นระดับประมาณ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือน พ.ย. 2553 (ภาพที่ 1) อันเป็นการเพิ่มปริมาณเงิน (High Power Money) ในระบบเศรษฐกิจกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ.

.

ภาพที่ 1 สินทรัพย์ของธนาคารกลางสหรัฐ

ที่มา Federal Reserve คำนวณโดย สศค.

.

           มาตรการ QE ระยะที่ 2 (Q4/2553 – ปัจจุบัน) แม้ว่ามาตรการ QE ระยะที่ 1 จะได้ช่วยประคับประคองให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ พ้นจากวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการเงิน โดยจีดีพีของสหรัฐฯ ได้กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในไตรมาสที่ 3 ปี พ.ศ. 2552 ที่ร้อยละ 0.4 จากไตรมากก่อนหน้า

.

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเปราะบาง โดยเฉพาะในภาคตลาดแรงงานที่ยังคงมีอัตราการว่างงานที่สูงถึงร้อยละ 9.6 กว่า 2 เท่าจากระดับปกติส่งผลให้เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2553 Fed ได้แถลงมาตรการ QE รอบที่ 2 เพิ่มเติมที่จะ 1) ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว (Longer-Term Treasury Securities) ในวงเงิน 600 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยจะทยอยการซื้อเดือนละ 75 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในช่วงระหว่างเดือน พ.ย. 2553 ถึง มิ.ย. 2554 และ 2)

.

ซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวเพิ่มเติมอีกประมาณ 250 ถึง 300 พันล้านดอลลาร์ สรอ. จากเงินต้นที่ได้รับคืนจากการถือหลักทรัพย์ที่ออกโดยหน่วยงานรัฐบาล (Agency Debt) และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ได้รับการค้ำประกันโดยหน่วยงานของรัฐ (Agency Mortgaged-Back Securities) ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ถืออยู่ในปัจจุบัน โดยจะทยอยการซื้อเดือนละ 35,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในระหว่างเดือน พ.ย. 2553 ถึง มิ.ย. 2554 เช่นกัน

.

มาตรการ Quantitative Easing คืออะไร
           มาตรการการเงินแบบผ่อนคลาย หรือ Quantitative Easing (QE) เป็นมาตรการที่ธนาคารกลางใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ มาตรการ QE ต่างจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินแบบปกติ (Conventional Method) ใน 2 ประเด็น คือ

.

         1) มาตรการ QE จะเพิ่มปริมาณเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ (Excess Reserve) ผ่านการให้กู้เงิน (Term Auction Credit) แก่สถาบันการเงินทั้งที่เป็นธนาคารพาณิชย์และไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Depository Institutes) เช่น Bear Stern และ AIG เพื่อเป็นการช่วยเหลือโดยตรงแก่สถาบันการเงินอื่นที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ด้วยในขณะที่ ตามปรกติธนาคารกลางจะให้กู้เฉพาะแก่ธนาคารพาณิชย์ผ่าน Discount Window

.

         2) มาตรการ QE มีความผ่อนปรณเกี่ยวกับตราสารที่ Fed จะรับซื้อมากกว่านโยบายการเงินปกติ กล่าวคือ นอกจากจะรับซื้อพันธบัตรรัฐบาลแล้ว ยังรับซื้อตราสารที่หนุนหลังโดยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (Mortgage Backed Securities) เพื่อผลในการเพิ่มปริมาณเงิน และเพื่อพยุงภาคธุรกิจบางประเภท

.

เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ และสถาบันการเงิน ในขณะที่ ภายใต้นโยบายการเงินปรกติธนาคารกลางจะรับซื้อพันธบัตรผ่าน Open Market Operation เฉพาะสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารกลางและพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ

.

.
ที่มา: Bank of England
.

กลไกการส่งผ่านของมาตรการ QE ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
มาตรการ QE ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่าน 2 กลไกการส่งผ่าน ได้แก่
          1) ผลกระทบผ่านกลไกอัตราดอกเบี้ยและระบบธนาคารพาณิชย์ อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และตราสารที่หนุนหลังโดยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์โดย Fed ได้ส่งผลให้ดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงประมาณร้อยละ 1.00 – 1.50 (ภาพที่ 2) ซึ่ง Fed คาดหวังการอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่ต่ำ จะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนภายในประเทศผ่านอุปสงคก์ ารกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ที่มากขึ้น (Higher Demand for Loans)  

.

นอกจากนี้ การเข้าซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวเป็นการลดปริมาณสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้ให้ภาคเอกชนได้คล่องตัวขึ้น (Higher Supply for Loanable Funds)

.

อย่างไรก็ตาม พบว่าสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมามิได้ตอบสนองต่ออัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ซ้ำยังได้ลดลงต่อเนื่องนับจากเดือน ต.ค. 2551 ถึงเดือน เม.ย. 2553 เป็นต้นมา และยังไม่สามารถกลับไปสู่ระดับก่อนวิกฤตได้ (ภาพที่ 3)

.

ภาพที่ 2 ผลตอบแทนพันบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

ที่มา US Department of Treasury และ CEIC

.

ภาพที่ 3 สินเชื่อธนาคารพาณิชย์

ที่มา Federal Reserve Board และ CEIC

.

          2) ผลกระทบผ่านกลไกอัตราแลกเปลี่ยน ปริมาณเงินดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้นจากนโยบาย QE ของ Fed ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลง ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม จากภาพที่ 4 จะพบว่า ดุลการค้าของสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2553 ขาดดุลที่ 131,175 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ระดับ 95, 224 ล้านดอลลาร์ สรอ.

.

ภาพที่ 4 ดุลการค้าของสหรัฐฯ

ที่มา Bureau of Economic Analysis และ CEIC

.

3. การใช้นโยบาย QE ในประเทศอื่นๆ
          นอกจากสหรัฐฯแล้ว สภาพเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางจากวิกฤตเศรษฐกิจ ความเปราะบางในภาคอสังหาริมทรัพย์ ความกังวลต่อภาวะเงินฝืด และข้อจำกัดของนโยบายการคลัง ยังทำให้ธนาคารกลางสหราชอาณาจักรและธนาคารกลางญี่ปุ่น ต้องใช้นโยบาย QE เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน โดยสรุปมาตรการ QE ของธนาคารดังกล่าวหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจได้ดังนี้

.

ตารางที่ 1 มาตรการ QE ในต่างประเทศ

ที่มา: รวบรวมโดย สศค.

.

          นโยบาย QE ของสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น ได้ส่งผลให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดเงินเฟ้อที่มากเกินในระยะต่อไป และจะเป็นผลอันตรายต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม หากไม่สามารถควบคุมหรือดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบ (Sterilization Process) 2 ได้อย่างเพียงพอและทันท่วงที

.

นอกจากนี้ นโยบาย QE ยังได้สร้างปัญหาให้แก่ประเทศเกิดใหม่ โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชีย ที่ในปัจจุบันมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูง เนื่องจากปริมาณเงินที่ถูกสร้างขึ้นมาจากนโยบาย QE ในประเทศพัฒนาแล้วดังกล่าว มีการเคลื่อนย้ายไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่าในประเทศที่กำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทย

.

3. ผลกระทบของนโยบาย QE ต่อเศรษฐกิจไทย
           นโยบาย QE ของประเทศต่างๆ ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยแยกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ (1) ภาคการเงิน  (Financial Sector) ผ่านการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทจากเงินทุนเคลื่อนย้ายที่เพิ่มขึ้นมาก และ (2) ภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) ผ่านผลกระทบต่อการค้าสินค้าและบริการระหว่างประเทศ กล่าวคือ

.

3.1 ผลกระทบต่อภาคการเงิน
          เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นจากการใช้นโยบาย QE ของสหรัฐฯ จะไหลออกนอกประเทศ เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าในประเทศที่กำลังพัฒนา และมีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง อาทิเช่น ไทย ทำให้ปริมาณเงินทุนไหลเข้า (Capital inflow) มายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก อันส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากแผนภาพที่ 5 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเงินบาทได้แข็งค่าอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2552            

.

และจากการติดตามสถานการณ์เงินทุนที่ไหลเข้านับตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2553 พบว่าเงินทุนที่ไหลเข้ามา ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในตลาดพันธบัตรมากกว่าในตลาดทุน ดังแสดงในแผนภาพที่ 6 ซึ่งพบว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 นักลงทุนต่างชาติซื้อพันธบัตรสุทธิถึง 2.76 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 4.6 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลลดลงอย่างมาก

.

ภาพที่ 5 เงินบาทต่อดอลลาร์ สรอ.

ที่มา CEIC

.

ภาพที่ 6 การซื้อพันธบัตรสุทธิโดยนักลงทุนต่างชาติ

ที่มา ThaiBMA รวบรวมโดย สศค.

.
3.2 ภาคเศรษฐกิจจริง

นโยบาย QE ทำค่าเงินดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินบาท ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกใน 2 ด้าน กล่าวคือ 1) ทำให้รายได้ของผู้ส่งออกลดลงทันทีเมื่อแปลงเป็นเงินบาท โดยเฉพาะผู้ส่งออกรายย่อยที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก และ 2) ทำให้ความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออกลดลง และอาจทำให้ปริมาณการส่งออกลดลงในระยะต่อไปโดยเฉพาะสินค้าส่งออกที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศมาก

.

ทั้งนี้ ความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาสามารถพิจาณาได้จากตารางที่ 2 ซึ่งแสดงการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนถ่วงน้ำหนัก (Nominal Effective Exchange Rate: NEER) ณ สิ้น ต.ค. 2553 ซึ่งพบว่าแข็งค่าขึ้นกว่าร้อยละ 5.5 นับจากสหรัฐฯ เริ่มทำ QE ในเดือน ต.ค. 2551 และร้อยละ 6.6 จากต้นปี พ.ศ. 2553

.

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าว จะยังไม่สามารถเห็นได้ชัดเจนจากยอดการส่งออก ณ ปัจจุบันเนื่องจากสัญญาค้าขายระหว่างประเทศมักจะทำไว้ล่วงหน้า สำหรับผู้นำเข้า การแข็งค่าของเงินบาท จะทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าถูกลงเมื่อแปลงเป็นเงินบาท อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกอบการคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าต่อเนื่อง ก็จะชะลอการนำเข้าสินค้าออกไป ทำให้ประโยชน์จากการนำเข้ายังไม่เห็นเป็นรูปธรรมในปัจจุบัน

.

ตารางที่ 2 การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ณ สิ้น ต.ค. 2553

ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: REER เป็นการเปลี่ยนแปลงนับถึงสิ้น ก.ย. 2553
.

ภาพที่ 7 สัดส่วนนักท่องเที่ยว ม.ค. – ก.ย. 2552

ที่มา สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และ CEIC

.

          ด้านการท่องเที่ยววิเคราะห์ว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวมากนัก ดังแสดงในภาพที่ 7 พบว่า ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.ย. 2553 นักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทยนั้นร้อยละ 57.4 เป็นนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชีย หรือคิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 6.43 ล้านคนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.7 ต่อปี แม้ว่าค่าเงินโดยเฉลี่ยของประเทศในภูมิภาคเอเชียมีการแข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกับประเทศไทย

.

4. บทสรุปและนัยเชิงนโยบาย
           การดำเนินมาตรการ QE ในสหรัฐฯ และในอีกหลายประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศของตน ด้วยความหวังว่าสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นในระบบ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจะกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ          

.

อย่างไรก็ตาม จากที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการ QE มากว่า 2 ปี ผลกระทบที่ได้จากมาตรการดังกล่าว กลับมิใช่ตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯที่ลดลง ในทางตรงกันข้าม ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นได้ส่งต่อผลกระทบไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลกผ่านปริมาณของเงินทุนเคลื่อนย้ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ค่าเงินของประเทศในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งไทยแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

.

          แม้ว่ามาตรการ QE จะเป็นปัจจัยภายนอกที่ประเทศไทยไม่สามารถควบคุมได้ แต่ผลกระทบในด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยจากมาตรการดังกล่าว สามารถบรรเทาลงได้ด้วยการใช้นโยบายเศรษฐกิจที่เหมาะสม นอกจากนี้ อาจถือเป็นจังหวะและโอกาสอันดีที่ไทยจะพิจารณาใช้ประโยชน์จากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า กล่าวคือ

.

ในระยะสั้น

         1. รัฐบาลดำเนินมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อผู้ส่งออก โดยเฉพาะผู้ส่งออกรายย่อยที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการการประกันความเสี่ยงได้ หรือมีต้นทุนสูงในการประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งกระทรวงการคลังได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกรายย่อยไปแล้ว ผ่านกระบวนการให้สินเชื่อและค้ำประกันของสถาบันการเงินของรัฐ ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนควรพิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินในการประกันความเสี่ยงจากเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ด้วยเช่นกัน

.

          2. ภาครัฐควรส่งเสริมให้ภาคเอกชนควรใช้โอกาสจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ในการนำเข้าเครื่องจักรและสินค้าทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตในอนาคต

.

          3. ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลการแข็งค่าของเงินบาทไม่ให้เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงหรือเร็วเกินไป เพื่อให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม

.

ในระยะปานกลางและระยะยาว

          1. ภาครัฐเร่งเสริมสร้างอุปสงค์ภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการจ้างงาน อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของประเทศในอนาคต

.

          2. ภาครัฐควรส่งเสริมให้ภาคเอกชนผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและมีสินค้าคุณภาพที่มีตรายี่ห้อของตนเองแทนการเป็นฐานการผลิตสินค้าราคาถูก เพื่อลดผลกระทบจากความสามารถในการแข่งขันด้านราคาที่ลดลงจากการแข็งค่าของเงินบาท

.

          3. ภาครัฐเร่งเสริมสร้างความร่วมมือทางการเงินกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย เพื่อติดตามและร่วมกันบริหารจัดการเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้ามาในภูมิภาค

.

1 ผู้เขียน ดร. ศรพล ตุลยะเสถียร ดร.สิริกมล อุดมผล และนายณพัชร หวังรุ่งวิชัยศรี ส่วนการวิเคราะห์เสถียรภาพเศรษฐกิจสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ขอขอบคุณ นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาคสำหรับคำแนะนำ

.

2 ในเดือน พ.ค. 2553 ธนาคารกลางสหภาพยุโรป (European Central Bank: ECB) ได้ดำเนินนโยบาย Security Market Program เพื่อช่วยเหลือภาคการเงินของยุโรป โดยการซื้อสินทรัพย์รัฐบาล และปล่อยกู้ระยะสั้นให้แก่สถาบันการเงิน

.

ทั้งนี้การดำเนินนโยบายดังกล่าวทำให้งบดุลของ ECB เพิ่มขึ้นประมาณ 2 แสนล้านยูโร อย่างไรก็ตาม งบดุลของ ECB ณ ปัจจุบัน ได้ลดลงมาสู่ระดับก่อนเริ่มมาตรการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ECB ได้ทำการ Sterilization อย่างชันเจน จึงไม่ถือว่าเป็นนโยบาย QE


.
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง